
ทำไมตั้งท้อง ต้องท้องผูก (Mother & Care)
เดือนที่ 1-3
ช่วงไตรมาสแรก คุณอาจมีอาการหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น แพ้ท้อง อ่อนเพลีย เมื่อยล้าง่าย รวมถึง อาการท้องผูก จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ทำให้ขนาดของมดลูกขยายตัว การหดรัดตัว และกดทับลำไส้ ฉะนั้น การเคลื่อนไหวของลำไส้จึงช้าลง ระบบการขับถ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วย เช่น ขับถ่ายน้อยลง หรืออุจจาระมีลักษณะแข็ง เป็นต้น
เดือนที่ 4-6
เป็นช่วงที่มดลูกขยายใหญ่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังก็เห็นได้ชัด หน้าท้องเริ่มขยาย บางคนผิวอาจแตกลายและมีอาการคัน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นช่วงนี้ เช่น เส้นเลือดขอด, ท้องอืด โดยเฉพาะเรื่องท้องผูก ถ้าคุณแม่ยังปล่อยปัญหานี้ไว้ โอกาสจะเกิดภาวะริดสีดวงทวารก็เป็นไปได้ง่ายมาก
เดือนที่ 7-9
ช่วงระยะใกล้คลอด การขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก จะกดทับมดลูกบนเส้นเลือดในช่องท้อง ขัดขวางการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก ทำให้เส้นเลือดโป่งพองออก ดังนั้น เมื่อคุณแม่ใช้แรงเบ่งมากเท่าไร เส้นเลือดบริเวณนี้ก็ยิ่งโป่งพองมากขึ้น อาจทำให้มีเลือดออกได้ เป็นอาการริดสีดวงทวารมาเยือน
ยาบำรุงกับอาการท้องผูก
กรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับธาตุเหล็กหรือแคลเซียมจากกอาหารไม่เพียงพอ เช่น ดื่มนมไม่เก่งหรือกินแคลเซียมไม่เพียงพอ จำเป็นต้องได้แคลเซียมเม็ด ส่วนใหญ่มักทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ส่วนจะเป็นมากน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่ที่ชนิดของแคลเซียม ที่คุณหมอแนะนำให้กิน
ทุก ๆ กรณีของการเกิดอาการท้องผูก สิ่งที่คุณแม่ต้องเข้าใจคือ ไม่ควรหาซื้อยามากินเพื่อแก้ปัญหา เพราะเรื่องการใช้ยา ต้องอยู่ภายใต้การดูแล คำแนะนำของคุณหมอ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และลูกน้อยค่ะ
ท้องผูก แก้ไขได้





การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ มีจิตใจที่เป็นสุข ช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาเรื่องท้องผูก และมีข้อแนะนำเพิ่มถึงคุณแม่ที่ขับถ่ายบ่อยกว่าปกติ เช่น ถ้ามีมูกเลือดปนหรือถ่ายเหลว กรณีแบบนี้ ก็ไม่ควรนิ่งเฉย ต้องปรึกษาคุณหมอ เพื่อดูแลอาการอย่างเหมาะสม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
