
มีภูมิ...ไม่มี (ภูมิ) แพ้ภูมิแพ้ (รักลูก)
โดย: เมธาวี
ปัจจุบันโรคภูมิแพ้ทั่วโลกพบสติเพิ่มสูงขึ้นค่ะ โรคนี้ถูกจัดว่าเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต แม้จะไม่ส่งผลต่อชีวิตในทันที แต่ก็บั่นทอนสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ ที่น่าตกใจคือบางคนไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นภูมิแพ้ อยู่ ๆ อาการก็ออกซะอย่างนั้น
แล้วเราจะอยู่อย่างไรอย่างไม่แพ้ล่ะ ! คำตอบมีอย่างเดียวคือต้องรู้จักโรคนี้ เพื่อจะรับมือและป้องกันได้ถูกต้องค่ะ
แกะรอย...ตัวการโรค
หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมลูกน้อยที่เกิดมาถึงเป็นโรคภูมิแพ้ หรือบางคนยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เพราะตอนเด็กๆ ลูกก็แข็งแรงดี ไม่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนเลย แต่โตขึ้นกลับเป็นโรคนี้ได้ ซึ่งสาเหตุการเกิดโรคภูมิแพ้ มีปัจจัยสำคัญ 2 ประการค่ะ

หากมีพ่อแม่ หรือพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันเป็นโรคภูมิแพ้ ทารกแรกเกิดมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ เพราะโรคนี้ถ่ายทอดทางยีน โดยพบว่า


เพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมามีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้มากน้อยแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองดังนี้ค่ะ


ลักษณะและความรุนแรงของอาการภูมิแพ้
ครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง | อาการหลัก - หอบหืด - ผื่นแพ้ผิวหนัง - แพ้อากาศ - แพ้นมวัว | อาการรอง - ลมพิษ - แพ้ยา - แพ้อาหาร - เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ | การประเมินผล |
เป็น/ ไม่เป็น/ ไม่แน่ใจ | เป็น/ ไม่เป็น/ ไม่แน่ใจ | คะแนนเต็ม /คะแนนที่ได้ | |
คุณพ่อ | 2 / 1 / 0 | 1 / 0.5 / 0 | 3 / |
คุณแม่ | 3 / 1 / 0 | 1 / 0.5 / 0 | 4 / |
พี่ / น้อง | 2 / 1 / 0 | 1 / 0.5 / 0 | 3 / |
ได้คะแนนรวม | |
ความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้


แม้โรคภูมิแพ้จะเกิดจากกรรมพันธุ์ จนทำให้หลาย ๆ คนสบายใจว่าตัวเองคงไม่เป็นแน่ เพราะไม่มีใครในครอบครัวเป็นเลย อย่าชะล่าใจนะคะ เพราะตัวการสำคัญอีกอย่างคือสภาพแวดล้อมที่ปัจจุบันมีสภาพเลวร้ายขึ้นจากมลภาวะที่เพิ่มขึ้นค่ะ

ปัจจุบันมีการวิเคราะห์และถกเถียงกันอย่างมากว่าสิ่งแวดล้อมอาจเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้คนเราเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น เนื่องจากไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้คงหนีไม่พ้นเจ้า 2 อ.นี้ คืออาหาร และอากาศ ค่ะ
อาหาร มีงานวิจัยพบว่า ขณะที่แม่ตั้งครรภ์ แล้วมีพฤติกรรมการกินอาหารที่เปลี่ยนไป คือมีการกินอาหารชนิดเดียวมากเกินกว่าปกติ จากที่ไม่เคยกินหรือกินน้อย...ก็กินเยอะ หรือแพ้ท้องอยากกินอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยกิน แล้วก็กินอาหารนั้นมากเกินไป กินอยู่อย่างเดียวไม่กินอย่างอื่น จะส่งผลไปกระตุ้นให้เด็กสร้างภูมิต่อต้านอาหารนั้นขึ้นมา เมื่อคลอดออกมาแล้วได้ไปกินอาหารชนิดนั้นเข้าก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นมาทันที
งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าอาหารที่แม่ท้องกินแล้วมีผลทำให้ลูกในครรภ์เป็นภูมิแพ้คือนมวัว ไข่ ข้าวสาลี ถั่งลิสง พืชตระกูลถั่ว อาหารทะเล นมวัว มีงานวิจัยพบว่าเด็กที่แพ้นมวัวเกิดจากแม่ขณะตั้งครรภ์ดื่มนมวัวมากเกินไป การที่ดื่มนมวัวเข้าไปเยอะๆ นอกจากจะได้แคลเซียมแล้ว โปรตีนในนมวัวอาจจะไปเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กในท้องเกิดการแพ้ได้ด้วย เพราะฉะนั้น แม่ท้องที่ดื่มนมวัวทุกวัน วันละ 1-2 แก้ว มีอัตราเสี่ยงที่ลูกจะแพ้นมวัวได้
อากาศ เป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดโรคภูมิแพ้รองลงมาจากอาหาร ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ในอากาศคือตัวไรฝุ่น ซากแมลงสาปตายแล้วย่อยสลายกลายเป็นฝุ่น ฝุ่นละอองจากเกสรดอกไม้ ดอกหญ้า รังแคสัตว์ ขนสัตว์ สารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป ยากันยุง เป็นต้น
การที่โรคภูมิแพ้กำเริบขึ้น ก็เนื่องจากเราสูดอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจึงสร้างภูมิต่อต้านขึ้นมา พอไปเจอกับอากาศที่มีสารกระตุ้นภูมิแพ้เข้าไปอีก หรือเจอสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ และจัดการดูแลสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้สะอาดดังนี้





ภูมิแพ้สังเกตได้
อาการภูมิแพ้ในแต่ละคนจะแสดงออกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงที่เด็กหรือคนคนนั้นเป็น ในคนที่มีอาการรุนแรง เพียงกินอาหารที่แพ้ หรือสัมผัสอากาศที่แพ้ภายใน 10-15 นาที อาการก็จะแสดงออก เรียกว่ามีอาการแพ้แบบเฉียบพลัน
ส่วนคนที่อาการไม่ค่อยรุนแรง มักจะค่อยเป็นค่อยไป บางคนเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน อาการจึงแสดงออก โดยแบ่งอาการที่แสดงออกได้ดังนี้










ภูมิแพ้ดูแลอย่างไร
ปัจจุบันมีวิธีรักษาที่ดีมากขึ้น และรักษาให้หายได้ แต่ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัว และการดูแลของพ่อแม่ เพราะคนที่เป็นโรคนี้ต้องมีระเบียบวินัยในตัวเอง สิ่งที่ต้องทำคือ



รักษาด้วยการใช้ยา...ปัจจุบันยารักษาโรคภูมิแพ้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ใช้ในเด็กเล็กได้ ซึ่งการใช้ยารักษาโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับจะทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้น โดยมีทั้งยากิน และยาพ่น
โดยการรักษาโรคภูมิแพ้ทุกชนิดส่วนใหญ่จะใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา แต่ถ้าเป็นสเตียรอยด์แบบกินจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จึงแปรงเป็นแบบสูด หรือพ่น ซึ่งมีข้างเคียงน้อย และมีความปลอดภัยสูงกว่า
การใช้ยาพ่น เพื่อขยายหลอดลม หากมีอาการหลอดลมตีบ และเป็นหอบหืด ยาขยายหลอดลมที่นำมาใช้พ่นถือเป็นยาช่วยชีวิต แต่การใช้ก็ต้องขึ้นอยู่กับอายุ และอุปกรณ์ว่าจะต้องใช้แบบไหน อาจจะใช้เป็นเครื่องที่พ่นยาออกมาเป็นฝอยละออง หรืออาจจะเป็นสเปรย์ฉีดพ่นหลอดลม เพื่อให้เด็กเด็กดูดเข้าไป ซึ่งถือเป็นยาในการช่วยชีวิต
ตราบใดที่ยังใส่ใจดูแลสุขภาพ ดูแลควบคุมพฤติกรรมการกินของตัวเราเองและลูกน้อยเป็นอย่างดี พร้อมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกายได้ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
