มีภูมิ...ไม่มี (ภูมิ) แพ้ภูมิแพ้

ภูมิแพ้

มีภูมิ...ไม่มี (ภูมิ) แพ้ภูมิแพ้
(รักลูก)
โดย: เมธาวี

          ปัจจุบันโรคภูมิแพ้ทั่วโลกพบสติเพิ่มสูงขึ้นค่ะ โรคนี้ถูกจัดว่าเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต แม้จะไม่ส่งผลต่อชีวิตในทันที แต่ก็บั่นทอนสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ ที่น่าตกใจคือบางคนไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นภูมิแพ้ อยู่ ๆ อาการก็ออกซะอย่างนั้น

          แล้วเราจะอยู่อย่างไรอย่างไม่แพ้ล่ะ ! คำตอบมีอย่างเดียวคือต้องรู้จักโรคนี้ เพื่อจะรับมือและป้องกันได้ถูกต้องค่ะ

แกะรอย...ตัวการโรค

          หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมลูกน้อยที่เกิดมาถึงเป็นโรคภูมิแพ้ หรือบางคนยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เพราะตอนเด็กๆ ลูกก็แข็งแรงดี ไม่เคยเป็นภูมิแพ้มาก่อนเลย แต่โตขึ้นกลับเป็นโรคนี้ได้ ซึ่งสาเหตุการเกิดโรคภูมิแพ้ มีปัจจัยสำคัญ 2 ประการค่ะ

 1. ภูมิแพ้...จากพันธุกรรม

          หากมีพ่อแม่ หรือพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันเป็นโรคภูมิแพ้ ทารกแรกเกิดมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ เพราะโรคนี้ถ่ายทอดทางยีน โดยพบว่า

          ถ้าพ่อหรือแม่ หรือมีพี่น้อง คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ความน่าจะเป็นที่ลูกจะเป็นโรคภูมิแพ้มีถึง 30-40%

          แต่ถ้าพ่อและแม่เป็นทั้งคู่ หรือมีพี่น้อง 2 คนแล้วเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้ 50-80%ทีเดียว

          เพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมามีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้มากน้อยแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองดังนี้ค่ะ

ตารางเช็กความเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้
 
 
ลักษณะและความรุนแรงของอาการภูมิแพ้

ครอบครัว
พ่อ แม่ พี่น้อง
 อาการหลัก
 - หอบหืด
 - ผื่นแพ้ผิวหนัง
 - แพ้อากาศ
 - แพ้นมวัว
 อาการรอง
 - ลมพิษ
 - แพ้ยา
 - แพ้อาหาร
 - เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้
 การประเมินผล
  เป็น/ ไม่เป็น/ ไม่แน่ใจ
เป็น/ ไม่เป็น/ ไม่แน่ใจ คะแนนเต็ม /คะแนนที่ได้
 คุณพ่อ     2  /   1    /   0
     1  /  0.5   /   0         3       /
 คุณแม่
    3  /   1    /   0      1  /  0.5   /   0         4       /
 พี่ / น้อง     2  /   1    /   0      1  /  0.5   /   0         3       /
     ได้คะแนนรวม   



ความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้

          หากได้คะแนนรวมมากกว่าหรือเท่ากับ 2 แสดงว่าลูกมีความเสี่ยงเป็นภูมิแพ้สูง

          หากได้คะแนนรวมน้อยกว่า 2 แสดงว่าลูกมีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ

          แม้โรคภูมิแพ้จะเกิดจากกรรมพันธุ์ จนทำให้หลาย ๆ คนสบายใจว่าตัวเองคงไม่เป็นแน่ เพราะไม่มีใครในครอบครัวเป็นเลย อย่าชะล่าใจนะคะ เพราะตัวการสำคัญอีกอย่างคือสภาพแวดล้อมที่ปัจจุบันมีสภาพเลวร้ายขึ้นจากมลภาวะที่เพิ่มขึ้นค่ะ

 2. ภูมิแพ้...จากสิ่งแวดล้อม

          ปัจจุบันมีการวิเคราะห์และถกเถียงกันอย่างมากว่าสิ่งแวดล้อมอาจเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้คนเราเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น เนื่องจากไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้คงหนีไม่พ้นเจ้า 2 อ.นี้ คืออาหาร และอากาศ ค่ะ

          อาหาร มีงานวิจัยพบว่า ขณะที่แม่ตั้งครรภ์ แล้วมีพฤติกรรมการกินอาหารที่เปลี่ยนไป คือมีการกินอาหารชนิดเดียวมากเกินกว่าปกติ จากที่ไม่เคยกินหรือกินน้อย...ก็กินเยอะ หรือแพ้ท้องอยากกินอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยกิน แล้วก็กินอาหารนั้นมากเกินไป กินอยู่อย่างเดียวไม่กินอย่างอื่น จะส่งผลไปกระตุ้นให้เด็กสร้างภูมิต่อต้านอาหารนั้นขึ้นมา เมื่อคลอดออกมาแล้วได้ไปกินอาหารชนิดนั้นเข้าก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นมาทันที

          งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าอาหารที่แม่ท้องกินแล้วมีผลทำให้ลูกในครรภ์เป็นภูมิแพ้คือนมวัว ไข่ ข้าวสาลี ถั่งลิสง พืชตระกูลถั่ว อาหารทะเล นมวัว มีงานวิจัยพบว่าเด็กที่แพ้นมวัวเกิดจากแม่ขณะตั้งครรภ์ดื่มนมวัวมากเกินไป การที่ดื่มนมวัวเข้าไปเยอะๆ นอกจากจะได้แคลเซียมแล้ว โปรตีนในนมวัวอาจจะไปเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กในท้องเกิดการแพ้ได้ด้วย เพราะฉะนั้น แม่ท้องที่ดื่มนมวัวทุกวัน วันละ 1-2 แก้ว มีอัตราเสี่ยงที่ลูกจะแพ้นมวัวได้

          อากาศ เป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดโรคภูมิแพ้รองลงมาจากอาหาร ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ในอากาศคือตัวไรฝุ่น ซากแมลงสาปตายแล้วย่อยสลายกลายเป็นฝุ่น ฝุ่นละอองจากเกสรดอกไม้ ดอกหญ้า รังแคสัตว์ ขนสัตว์ สารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป ยากันยุง เป็นต้น

          การที่โรคภูมิแพ้กำเริบขึ้น ก็เนื่องจากเราสูดอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจึงสร้างภูมิต่อต้านขึ้นมา พอไปเจอกับอากาศที่มีสารกระตุ้นภูมิแพ้เข้าไปอีก หรือเจอสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

          วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ และจัดการดูแลสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้สะอาดดังนี้

          ทำความสะอาดหมอนที่นอนเป็นประจำ ใช้หมอน และปลอกหมอนกันไรฝุ่น

          เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ฉะนั้นในบ้านไม่ควรปูพรม เพราะเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและตัวไร

          ไม่ควรสูบบุหรี่ในบ้าน และเช็ดทำความสะอาดบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ

          ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนเยอะ

          ใช้เครื่องฟอกอากาศ ช่วยในการกรองฝุ่นที่มีโมเลกุลใหญ่ๆ ได้

ภูมิแพ้สังเกตได้

          อาการภูมิแพ้ในแต่ละคนจะแสดงออกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงที่เด็กหรือคนคนนั้นเป็น ในคนที่มีอาการรุนแรง เพียงกินอาหารที่แพ้ หรือสัมผัสอากาศที่แพ้ภายใน 10-15 นาที อาการก็จะแสดงออก เรียกว่ามีอาการแพ้แบบเฉียบพลัน

          ส่วนคนที่อาการไม่ค่อยรุนแรง มักจะค่อยเป็นค่อยไป บางคนเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน อาการจึงแสดงออก โดยแบ่งอาการที่แสดงออกได้ดังนี้

           1. ระบบทางเดินหายใจ

          เป็นหวัดเรื้อรัง มีน้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่ออกเรื้อรัง ซึ่งอาจมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น เป็นไซนัสอักเสบ มีเนื้องอกในจมูก ปอดบวม หลอดลมอักเสบ มีน้ำคลั่งในหูชั้นกลางทำให้หูเสื่อม มีปัญหาเรื่องการได้ยิน

          ไอเรื้อรัง ซึ่งในกลุ่มนี้ที่มีอาการรุนแรงอาจแสดงออกด้วยการไปเป็นเลือดสด ๆ ซึ่งเคยพบในเด็กสุดอายุประมาณ 4-5 เดือน

          เป็นหอบหืด พบในกลุ่มคนที่มีอาการรุนแรง เป็นอาการรุนแรงแบบเฉียบพลัน หายใจไม่ออก ช็อกหมดสติ และเสียชีวิตได้

           2. ระบบทางเดินอาหาร หรือระบบลำไส้ จะมีอาการอาเจียนเป็น ๆ หาย ๆ ท้องเสียเป็น ๆ หาย ๆ ถ่ายเป็นมูกเลือด อาจจะมีปวดท้องร้องกวนแบบโคลิก หรือบางคนมีปัญหาท้องผูก ถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งมัน ๆ เหมือนมีน้ำมันหุ้มอยู่

           3. ระบบทางผิวหนัง มักมีอาการผิวหนังเป็นผื่นเม็ดทราย ผิวแห้งเป็นสะเก็ดทั้งตัว มีลักษณะผิวหนังหยาบ และมีอาการคัน นอกจากนี้อาจมีอาการลมพิษ คือผิวหนังเป็นผื่นนูนแดง เป็นจ้ำ ๆ ทั้งตัว

           4. ภูมิแพ้ออกตา ซึ่งมักจะพบร่วมกับโพรงจมูกอักเสบ มีปัญาตาแดง คันตา น้ำตาไหล กลัวแสง บางคนขยี้ตาจนเกิดการถลอกอักเสบของเยื่อบุตา เกิดการติดเชื้อได้

           5. เลี้ยงไม่โต ซึ่งเป็นอีกอาการหนึ่งที่เจอบ่อยไม่น้อยคือลูกมีลักษณะตัวเล็ก เลี้ยงไม่โต ผิวหนังแห้งซีดเซียว ซึ่งพบบว่ากลุ่มนี้จะไม่ชอบกินนม จะชอบกินนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนื่องจากกินนมวัวแล้วรู้สึกไม่สบายตัวก็จะไม่กิน

           6. แพ้ยา ส่วนใหญ่จะแสดงออกทางระบบทางเดินผิวหนังเป็นหลัก

           7. แพ้อาหาร กลุ่มนี้ถ้าในเด็กเล็ก ๆ ไม่ได้แพ้นม แต่อาจจะมาแพ้อาหารทะเลตอนโตได้ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วก็จะแพ้อยู่นาน หรืออาจจะแพ้ไปตลอดเลยก็ได้ มีลักษณะอาการเป็นลมพิษ บางรายรุนแรงหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ช็อกเสียชีวิตได้

ภูมิแพ้ดูแลอย่างไร

          ปัจจุบันมีวิธีรักษาที่ดีมากขึ้น และรักษาให้หายได้ แต่ขึ้นอยู่กับการประพฤติตัว และการดูแลของพ่อแม่ เพราะคนที่เป็นโรคนี้ต้องมีระเบียบวินัยในตัวเอง สิ่งที่ต้องทำคือ

          1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

          2. การใช้ยาในการบรรเทาอาการ

          3. การดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้โรคภูมิแพ้ค่อย ๆ หายไปจากชีวิตได้ค่ะ

          รักษาด้วยการใช้ยา...ปัจจุบันยารักษาโรคภูมิแพ้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ใช้ในเด็กเล็กได้ ซึ่งการใช้ยารักษาโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับจะทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้น โดยมีทั้งยากิน และยาพ่น

          โดยการรักษาโรคภูมิแพ้ทุกชนิดส่วนใหญ่จะใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา แต่ถ้าเป็นสเตียรอยด์แบบกินจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จึงแปรงเป็นแบบสูด หรือพ่น ซึ่งมีข้างเคียงน้อย และมีความปลอดภัยสูงกว่า

          การใช้ยาพ่น เพื่อขยายหลอดลม หากมีอาการหลอดลมตีบ และเป็นหอบหืด ยาขยายหลอดลมที่นำมาใช้พ่นถือเป็นยาช่วยชีวิต แต่การใช้ก็ต้องขึ้นอยู่กับอายุ และอุปกรณ์ว่าจะต้องใช้แบบไหน อาจจะใช้เป็นเครื่องที่พ่นยาออกมาเป็นฝอยละออง หรืออาจจะเป็นสเปรย์ฉีดพ่นหลอดลม เพื่อให้เด็กเด็กดูดเข้าไป ซึ่งถือเป็นยาในการช่วยชีวิต

          ตราบใดที่ยังใส่ใจดูแลสุขภาพ ดูแลควบคุมพฤติกรรมการกินของตัวเราเองและลูกน้อยเป็นอย่างดี พร้อมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกายได้ค่ะ






ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มีภูมิ...ไม่มี (ภูมิ) แพ้ภูมิแพ้ อัปเดตล่าสุด 13 ตุลาคม 2554 เวลา 16:02:43 1,303 อ่าน
TOP
x close