ทารกโตช้าในครรภ์ เกิดจากอะไร ? เมื่อลูกในท้องโตช้า คุณแม่จะรู้ได้อย่างไร และภาวะทารกโตช้าในครรภ์นี้เสี่ยงอันตรายแค่ไหน ตามมาดูสาเหตุ พร้อมวิธีรับมือ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยกัน
คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจเป็นกังวลว่าทำไมท้องเล็กจัง หรือลูกดิ้นน้อยกว่าปกติ อาการแบบนี้ต้องระวังไว้นะคะ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะทารกโตช้าในครรภ์ ทำให้เด็กตัวเล็ก น้ำหนักน้อย หรือมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเสี่ยงพิการหรือเสียชีวิตได้ อะไรคือสาเหตุของปัญหาน่าเป็นห่วงนี้ และจะสามารถแก้ไขหรือป้องกันได้อย่างไรบ้าง ตามมาหาคำตอบกัน
ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (Growth Retardation) คือภาวะที่ตัวอ่อนในครรภ์ไม่ได้พัฒนาขึ้นตามกำหนดที่ควรเป็น ทำให้ทารกเกิดภาวะทุพโภชนาการ มีขนาดเล็ก และมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ พบได้ประมาณ 3-10% โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก ตั้งครรภ์ก่อนอายุ 19 ปี ตั้งครรภ์ขณะที่อายุมากกว่า 35 ปี และตั้งครรภ์มากกว่า 5 ครั้งขึ้นไป จะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
- แบบได้สัดส่วน (Symmetrical) ทารกโตช้าจะมีขนาดร่างกายเล็กกว่าปกติแบบเท่า ๆ กันทุกส่วน
- แบบผิดสัดส่วน (Asymmetrical) ทารกโตช้าจะมีขนาดร่างกายเล็กกว่าศีรษะมาก
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติในเซลล์ หรือเนื้อเยื่อที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ตั้งแต่แรก มีปริมาณการนำเข้าออกซิเจนต่ำ หรือปัญหาสุขภาพของคุณแม่ โดยสามารถเริ่มขึ้นช่วงเวลาใดของการตั้งครรภ์ก็ได้ และมีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้ทารกเกิดภาวะนี้ขึ้น ได้แก่
- โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคทางเดินหายใจต่าง ๆ
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ภาวะทุพโภชนาการ
- โรคโลหิตจาง
- การติดเชื้อบางประเภท
- การใช้สารเสพติด
- การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- ทารกพิการ ทารกพิการร้อยละ 20-60 จะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ขณะที่อีกร้อยละ 10 พบว่าเป็นเด็กพิการ ความพิการที่พบบ่อยในทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ได้แก่ ไม่มีผนังหน้าท้อง ไส้เลื่อนกระบังลม มีความพิการของหัวใจ และกระดูกผิดปกติ
- ทารกติดเชื้อโรค เช่น เชื้อเริม เชื้อหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสอีสุกอีใส เชื้อ Cytomegalovirus เชื้อ Toxoplasmosis
- ทารกมีโรคหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายของทารกได้ไม่ดี จึงเกิดการเจริญเติบโตช้าในครรภ์
- รกลอกตัวก่อนกำหนด
- รกเกาะต่ำ
- รกอักเสบ
- รกมีเนื้องอกและถุงน้ำ (Chorioangioma, Placental Cyst)
- ถุงน้ำคร่ำอักเสบ
- สายสะดือเกิดความผิดปกติ เช่น สายสะดือพันกัน ผูกเป็นปม มีเส้นเลือดผิดปกติ ตีบมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้รกไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงทารกได้เพียงพอ
- การไหลเวียนโลหิตที่มดลูกลดลง
- การไหลเวียนโลหิตภายในรกลดลง
- การติดเชื้อที่เนื้อเยื่อโดยรอบตัวอ่อน
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์ มีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้สูง ดังนี้
- หากคลอดออกมาแล้วอาจมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
- มีระดับออกซิเจนและน้ำตาลในเลือดต่ำ
- มีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
- การรักษาอุณหภูมิในร่างกายผิดปกติ
- มีภูมิต้านทานต่ำ
- มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ การรับประทานอาหาร ระบบประสาท และอาจมีอาการสำลักขี้เทาด้วย
ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือระหว่างคลอดได้ ซึ่งหากทารกรอดชีวิตก็มีโอกาสที่จะเกิดความพิการทางการเรียนรู้ มีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวและสังคมล่าช้า รวมทั้งเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น
ทราบสาเหตุและอันตรายของภาวะทารกในครรภ์โตช้าไปแล้ว คุณแม่ท้องอาจกังวลว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในครรภ์เติบโตช้า เรามีวิธีสังเกตอาการต่าง ๆ มาบอก
- คุณแม่มีโรคประจำตัว หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- น้ำหนักขณะตั้งครรภ์ลดลง หรือไม่ก็ขึ้นน้อยกว่าเดือนละ 1 กิโลกรัม
- รู้สึกว่าท้องตัวเองเล็กกว่าคนตั้งครรภ์ปกติ
- รู้สึกได้ว่าลูกดิ้นน้อย โดยปกติทารกจะดิ้นไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ภายใน 12 ชั่วโมง
- การตรวจครรภ์พบขนาดยอดของมดลูกไม่โตขึ้น และไม่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติ
- การตรวจวัดการสูบฉีดเลือดของทารกในครรภ์พบความผิดปกติ
ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าทารกในครรภ์อาจเจริญเติบโตช้า แต่เพื่อความชัดเจนที่สุด คุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอัลตราซาวด์ หากพบว่าทารกมีขนาดเล็กผิดปกติ น้ำหนักเพิ่มขึ้นช้ากว่าทารกที่มีอายุครรภ์เท่ากัน แพทย์จะคอยติดตามการเจริญเติบโตเป็นประจำต่อเนื่อง รวมถึงอาจจะทดสอบด้วยการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจความผิดปกติต่าง ๆ และหาแนวทางแก้ไขต่อไป
ถึงแม้ภาวะลูกในครรภ์โตช้าจะน่าเป็นห่วง แต่คุณแม่สามารถแก้ไขไปพร้อม ๆ กับแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ได้ โดยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดหมายทุก 2-6 สัปดาห์ เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจนกว่าอายุครรภ์จะครบ 34 หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้คุณแม่จะต้อง...
- ดูแลโภชนาการ ด้วยการเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพื่อให้ตัวอ่อนได้รับสารอาหารที่จำเป็นมากขึ้น โดยแพทย์อาจช่วยวางแผนการรับประทาน รวมทั้งเสริมวิตามินที่จำเป็นต่อหญิงตั้งครรภ์ด้วย
- พักผ่อนบนเตียงด้วยท่าพิเศษ แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่นอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงในท่าทางเฉพาะ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปยังทารกได้ดีขึ้น
- การกระตุ้นให้คลอด ในกรณีรุนแรง เช่น การเจริญเติบโตของทารกชะงักลงอย่างสมบูรณ์ แพทย์อาจมีการเร่งให้คลอดก่อนกำหนด เพื่อไม่ให้ทั้งแม่และลูกมีอาการทรุดหนักกว่าที่เป็นอยู่
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยง ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะทารกในครรภ์โตช้าได้ ตามแนวทางเหล่านี้
- นอนพักให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
- ปรับเปลี่ยนท่าทางและพฤติกรรม เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและทารกจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น เช่น ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกมากที่สุด
- สังเกตการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ควรนับว่าลูกดิ้นกี่ครั้งในแต่ละวัน
- ระวังหากมีโรคประจำตัว และควรตรวจหาโรคต่าง ๆ อย่างละเอียด
- เข้ารับการตรวจตามนัดหมายแต่ละครั้งให้ครบถ้วน สม่ำเสมอ
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยารักษาโรคใด ๆ เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้
คุณแม่ที่สงสัยว่าอาจจะมีภาวะทารกโตช้าในครรภ์ หรือมีอาการผิดปกติใด ๆ ละก็ อย่าชะล่าใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและหาแนวทางแก้ไขให้ทันท่วงที เพียงเท่านี้ลูกในครรภ์ก็จะมีโอกาสคลอดอย่างปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจหายห่วงขึ้นแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : med.cmu.ac.th, clmjournal.org, maerakluke.com
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์ คืออะไร ?
ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (Growth Retardation) คือภาวะที่ตัวอ่อนในครรภ์ไม่ได้พัฒนาขึ้นตามกำหนดที่ควรเป็น ทำให้ทารกเกิดภาวะทุพโภชนาการ มีขนาดเล็ก และมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ พบได้ประมาณ 3-10% โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก ตั้งครรภ์ก่อนอายุ 19 ปี ตั้งครรภ์ขณะที่อายุมากกว่า 35 ปี และตั้งครรภ์มากกว่า 5 ครั้งขึ้นไป จะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
- แบบได้สัดส่วน (Symmetrical) ทารกโตช้าจะมีขนาดร่างกายเล็กกว่าปกติแบบเท่า ๆ กันทุกส่วน
- แบบผิดสัดส่วน (Asymmetrical) ทารกโตช้าจะมีขนาดร่างกายเล็กกว่าศีรษะมาก
ทารกในครรภ์โตช้า เกิดจากอะไร
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความผิดปกติในเซลล์ หรือเนื้อเยื่อที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ตั้งแต่แรก มีปริมาณการนำเข้าออกซิเจนต่ำ หรือปัญหาสุขภาพของคุณแม่ โดยสามารถเริ่มขึ้นช่วงเวลาใดของการตั้งครรภ์ก็ได้ และมีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้ทารกเกิดภาวะนี้ขึ้น ได้แก่
ปัจจัยเสี่ยงจากสุขภาพของมารดา
- โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเรื้อรัง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคทางเดินหายใจต่าง ๆ
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ภาวะทุพโภชนาการ
- โรคโลหิตจาง
- การติดเชื้อบางประเภท
- การใช้สารเสพติด
- การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจัยเสี่ยงจากตัวทารกเอง
- ทารกพิการ ทารกพิการร้อยละ 20-60 จะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ขณะที่อีกร้อยละ 10 พบว่าเป็นเด็กพิการ ความพิการที่พบบ่อยในทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า ได้แก่ ไม่มีผนังหน้าท้อง ไส้เลื่อนกระบังลม มีความพิการของหัวใจ และกระดูกผิดปกติ
- ทารกติดเชื้อโรค เช่น เชื้อเริม เชื้อหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสอีสุกอีใส เชื้อ Cytomegalovirus เชื้อ Toxoplasmosis
- ทารกมีโรคหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายของทารกได้ไม่ดี จึงเกิดการเจริญเติบโตช้าในครรภ์
- ทารกมีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือโครโมโซมผิดปกติ เช่น เป็นดาวน์ซินโดรม
ปัจจัยเสี่ยงจาก รก ถุงน้ำคร่ำและสายสะดือ
- รกลอกตัวก่อนกำหนด
- รกเกาะต่ำ
- รกอักเสบ
- รกมีเนื้องอกและถุงน้ำ (Chorioangioma, Placental Cyst)
- ถุงน้ำคร่ำอักเสบ
- สายสะดือเกิดความผิดปกติ เช่น สายสะดือพันกัน ผูกเป็นปม มีเส้นเลือดผิดปกติ ตีบมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้รกไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงทารกได้เพียงพอ
ปัจจัยเสี่ยงภายในมดลูก
- การไหลเวียนโลหิตที่มดลูกลดลง
- การไหลเวียนโลหิตภายในรกลดลง
- การติดเชื้อที่เนื้อเยื่อโดยรอบตัวอ่อน
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์ อันตรายแค่ไหน
ภาวะทารกโตช้าในครรภ์ มีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้สูง ดังนี้
- หากคลอดออกมาแล้วอาจมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
- มีระดับออกซิเจนและน้ำตาลในเลือดต่ำ
- มีเซลล์เม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
- การรักษาอุณหภูมิในร่างกายผิดปกติ
- มีภูมิต้านทานต่ำ
- มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ การรับประทานอาหาร ระบบประสาท และอาจมีอาการสำลักขี้เทาด้วย
ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือระหว่างคลอดได้ ซึ่งหากทารกรอดชีวิตก็มีโอกาสที่จะเกิดความพิการทางการเรียนรู้ มีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวและสังคมล่าช้า รวมทั้งเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าทารกในครรภ์โตช้า
ทราบสาเหตุและอันตรายของภาวะทารกในครรภ์โตช้าไปแล้ว คุณแม่ท้องอาจกังวลว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในครรภ์เติบโตช้า เรามีวิธีสังเกตอาการต่าง ๆ มาบอก
- คุณแม่มีโรคประจำตัว หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- น้ำหนักขณะตั้งครรภ์ลดลง หรือไม่ก็ขึ้นน้อยกว่าเดือนละ 1 กิโลกรัม
- รู้สึกว่าท้องตัวเองเล็กกว่าคนตั้งครรภ์ปกติ
- รู้สึกได้ว่าลูกดิ้นน้อย โดยปกติทารกจะดิ้นไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ภายใน 12 ชั่วโมง
- การตรวจครรภ์พบขนาดยอดของมดลูกไม่โตขึ้น และไม่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติ
- การตรวจวัดการสูบฉีดเลือดของทารกในครรภ์พบความผิดปกติ
ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าทารกในครรภ์อาจเจริญเติบโตช้า แต่เพื่อความชัดเจนที่สุด คุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอัลตราซาวด์ หากพบว่าทารกมีขนาดเล็กผิดปกติ น้ำหนักเพิ่มขึ้นช้ากว่าทารกที่มีอายุครรภ์เท่ากัน แพทย์จะคอยติดตามการเจริญเติบโตเป็นประจำต่อเนื่อง รวมถึงอาจจะทดสอบด้วยการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจความผิดปกติต่าง ๆ และหาแนวทางแก้ไขต่อไป
การรับมือกับภาวะทารกในครรภ์โตช้า
ถึงแม้ภาวะลูกในครรภ์โตช้าจะน่าเป็นห่วง แต่คุณแม่สามารถแก้ไขไปพร้อม ๆ กับแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ได้ โดยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดหมายทุก 2-6 สัปดาห์ เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจนกว่าอายุครรภ์จะครบ 34 หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้คุณแม่จะต้อง...
- ดูแลโภชนาการ ด้วยการเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพื่อให้ตัวอ่อนได้รับสารอาหารที่จำเป็นมากขึ้น โดยแพทย์อาจช่วยวางแผนการรับประทาน รวมทั้งเสริมวิตามินที่จำเป็นต่อหญิงตั้งครรภ์ด้วย
- พักผ่อนบนเตียงด้วยท่าพิเศษ แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่นอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงในท่าทางเฉพาะ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปยังทารกได้ดีขึ้น
- การกระตุ้นให้คลอด ในกรณีรุนแรง เช่น การเจริญเติบโตของทารกชะงักลงอย่างสมบูรณ์ แพทย์อาจมีการเร่งให้คลอดก่อนกำหนด เพื่อไม่ให้ทั้งแม่และลูกมีอาการทรุดหนักกว่าที่เป็นอยู่
วิธีป้องกันภาวะทารกโตช้าในครรภ์ของทารก
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยง ยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะทารกในครรภ์โตช้าได้ ตามแนวทางเหล่านี้
- นอนพักให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
- ปรับเปลี่ยนท่าทางและพฤติกรรม เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและทารกจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น เช่น ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกมากที่สุด
- สังเกตการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ควรนับว่าลูกดิ้นกี่ครั้งในแต่ละวัน
- ระวังหากมีโรคประจำตัว และควรตรวจหาโรคต่าง ๆ อย่างละเอียด
- เข้ารับการตรวจตามนัดหมายแต่ละครั้งให้ครบถ้วน สม่ำเสมอ
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยารักษาโรคใด ๆ เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้
คุณแม่ที่สงสัยว่าอาจจะมีภาวะทารกโตช้าในครรภ์ หรือมีอาการผิดปกติใด ๆ ละก็ อย่าชะล่าใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและหาแนวทางแก้ไขให้ทันท่วงที เพียงเท่านี้ลูกในครรภ์ก็จะมีโอกาสคลอดอย่างปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจหายห่วงขึ้นแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : med.cmu.ac.th, clmjournal.org, maerakluke.com