ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ล่าสุดองค์การอนามัยโลกได้ออกมาแนะนำแล้วว่า เด็กต่ำกว่า 2 ขวบควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าจอ พ่อแม่ยุคใหม่จึงต้องตระหนักถึงผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์กันสักนิด มาเช็กกันค่ะว่า 10 ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ มีอะไรบ้าง พร้อมคู่มือแนะนำจากองค์การอนามัยโลกว่าเด็กเล็กอยู่หน้าจอได้นานแค่ไหน
วิธีเลี้ยงลูก ในยุคโซเชียลครองเมือง เราจะเห็นคุณพ่อคุณแม่บางท่านใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ตลอดจนคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูก ภาพของเด็กหรือทารกดูมือถือ เล่นโทรศัพท์มือถือ กลายเป็นภาพที่คุ้นชินสายตา แต่รู้ไหมคะว่าการปล่อยให้ลูก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ อยู่กับหน้าจอมากเกินไปจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี ใครมีลูกอยู่ในวัยนี้ ป้องกันไว้ก็ยังไม่สาย ดังนั้นเรามาดูผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ในวัยก่อน 2 ขวบกันเลยดีกว่าค่ะ
ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ
1. ทักษะการพูดและการสื่อสารพัฒนาได้ช้า
โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะเรียนรู้การพูดและภาษาจากคุณพ่อคุณแม่ หรือบุคคลรอบข้าง ด้วยการสังเกตรูปปากและเสียงที่เปล่งออกมา การเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออยู่กับหน้าจอนาน ๆ จึงเป็นการลดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแบบตัวต่อตัวของเด็ก
2. ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย
เด็กในวัยนี้จำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อพัฒนาทักษะทางกาย ทั้งการเดิน วิ่ง ขยับมือ หยิบจับสิ่งของ การให้เด็กนั่งนิ่ง ๆ อยู่หน้าจอ อาจทำให้ไม่ได้พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ควร
3. ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เมื่อเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์ ลูกจะใจจดจ่ออยู่แต่กับโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ส่งผลให้มีพฤติกรรมแยกตัว ขาดการพูดคุย ไม่ปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้าง
4. สมาธิสั้น
การให้ลูกดูสื่อต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอโทรทัศน์มากเกินไป ลูกจะเห็นภาพและเสียงผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียสมาธิได้ เพราะไม่สามารถจดจ่อกับการดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วง อีกทั้งเสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ ก็รบกวนสมาธิของเด็กเช่นกัน
5. จอประสาทตาถูกทำลาย
เด็กในวัยนี้ ตาและระบบการมองเห็นยังอ่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ควรมองแสงที่สว่างมากเกินไป ซึ่งแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือสามารถทำลายจอประสาทตาของเด็ก จนนำไปสู่โรคทางสายตา หรือจอประสาทตาเสื่อมได้
6. รบกวนการนอนหลับ
การให้ลูกเล่นหรือดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนนอน แสงจากหน้าจอที่สว่าง ๆ จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ที่ช่วยควบคุมการนอนหลับ เนื่องจากการปล่อยฮอร์โมนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแสงสว่างเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นปัญหาต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้เด็กนอนฝันร้าย หรือนอนไม่หลับ ซึ่งมีผลทำลายการทำงานของเซลล์ประสาท ส่งผลระยะยาวไปถึงตอนโตได้
7. ปวดเมื่อยคอ
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เด็กก้มมองจอโทรศัพท์ มักจะก้มคอราว 60 องศา ซึ่งเป็นท่าที่ไม่เหมาะสม เพราะจะส่งให้เกิดอาการปวดคอได้หากก้มเป็นเวลานาน ๆ
8. ปวดหัว ปวดตา
การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน จะส่งให้ได้รับรังสีจากคลื่นโทรศัพท์ที่แผ่ออกมามากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งรังสีดังกล่าวอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมา นั่นคือปวดศีรษะ ปวดตา หรือบางรายก็อาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่านั้น
9. พฤติกรรมก้าวร้าว
หากเด็ก ๆ เล่นโทรศัพท์มือถือจนติด หรือพ่อแม่ใช้โทรศัพท์เป็นสิ่งหลอกล่อให้เด็กทำตามคำสั่ง ผลเสียที่ตามมาก็คือเมื่อเด็กไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาที่ต้องการ มักจะเกิดอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว เพราะไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กที่ติดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ
10. จินตนาการหดหาย
จินตนาการในวัยเด็กเป็นของขวัญที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่ง แต่การปล่อยให้เด็กเรียนรู้ผ่านรายการในโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ซึ่งมักจะบอกแนวความคิดว่าเด็กต้องทำอย่างไร คิดอย่างไร ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ทำให้เกิดการจำกัดจินตนาการของเด็ก ๆ ได้
คำแนะนำ เด็กเล็กอยู่หน้าจอได้นานแค่ไหน
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดคู่มือแนะนำใหม่ขึ้นสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง ในการควบคุมเวลาหน้าจอสำหรับเด็กเป็นครั้งแรก โดยระบุว่า
เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ขวบที่ยังเดินไม่ได้
- ควรมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งรวมถึงการนอนคว่ำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- ไม่ควรอยู่ในรถเข็น หรือผูกติดบนหลังใครนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง
- ควรนอนหลับให้ได้ 12-17 ชั่วโมงต่อวัน
- ไม่ควรอยู่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลย
เด็กอายุ 1-2 ขวบ
- ควรมีกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง
- ควรนอนหลับอย่างน้อย 11-14 ชั่วโมง
- ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง
เด็กอายุ 3-4 ขวบ
- ควรทำกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวปานกลางถึงแข็งแรงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- ควรนอนหลับพักผ่อน 10-13 ชั่วโมง
- ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง
เด็กเล็กสามารถคุย Video Chat กับเราได้ไหม
นอกจากนี้ สถาบันกุมารศาสตร์แห่งสหรัฐฯ (The American Academy of Pediatrics) ก็ไม่ส่งเสริมให้มีการใช้สื่อหน้าจอในเด็กเช่นเดียวกันค่ะ ยกเว้นการคุยกันผ่านวิดีโอ (Video chat) สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 1 ขวบครึ่ง - 2 ขวบ สามารถทำได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับคนในครอบครัว ส่วนเด็กอายุระหว่าง 2-5 ขวบนั้น ควรรับชมรายการที่มีคุณภาพเป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน
ทั้งนี้ ในการให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอ คุณพ่อและคุณแม่ควรจะสกรีนเนื้อหาของรายการที่ลูกดูก่อนทุกครั้ง และควรดูไปพร้อมกับลูก ๆ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ มอบความรักความอบอุ่นแก่ลูกค่ะ
แต่ทางที่ดี Dr.Juana Willumsen ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก แนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ปกครองควรนำการเล่นที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ๆ กลับมา ไม่ว่าจะเป็นการได้เคลื่อนไหวร่างกาย การวิ่งเล่น การร้องเพลง การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การต่อจิ๊กซอว์ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากเวลาที่เด็กอยู่กับที่ไปเป็นเวลาเล่น ซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ ได้ออกกำลังกายและเสี่ยงต่อโรคอ้วนน้อยลงด้วยนั่นเองค่ะ
ข้อมูลจาก : องค์การอนามัยโลก, evoke.ie, healthychildren.org, awomanlessordinary.com
ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ
1. ทักษะการพูดและการสื่อสารพัฒนาได้ช้า
โดยทั่วไปแล้ว เด็กจะเรียนรู้การพูดและภาษาจากคุณพ่อคุณแม่ หรือบุคคลรอบข้าง ด้วยการสังเกตรูปปากและเสียงที่เปล่งออกมา การเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออยู่กับหน้าจอนาน ๆ จึงเป็นการลดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารแบบตัวต่อตัวของเด็ก
2. ขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย
เด็กในวัยนี้จำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อพัฒนาทักษะทางกาย ทั้งการเดิน วิ่ง ขยับมือ หยิบจับสิ่งของ การให้เด็กนั่งนิ่ง ๆ อยู่หน้าจอ อาจทำให้ไม่ได้พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ควร
3. ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เมื่อเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์ ลูกจะใจจดจ่ออยู่แต่กับโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ส่งผลให้มีพฤติกรรมแยกตัว ขาดการพูดคุย ไม่ปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้าง
4. สมาธิสั้น
การให้ลูกดูสื่อต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือหน้าจอโทรทัศน์มากเกินไป ลูกจะเห็นภาพและเสียงผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เสียสมาธิได้ เพราะไม่สามารถจดจ่อกับการดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ลุล่วง อีกทั้งเสียงแจ้งเตือนต่าง ๆ ก็รบกวนสมาธิของเด็กเช่นกัน
5. จอประสาทตาถูกทำลาย
เด็กในวัยนี้ ตาและระบบการมองเห็นยังอ่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ควรมองแสงที่สว่างมากเกินไป ซึ่งแสงสีฟ้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือสามารถทำลายจอประสาทตาของเด็ก จนนำไปสู่โรคทางสายตา หรือจอประสาทตาเสื่อมได้
การให้ลูกเล่นหรือดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนนอน แสงจากหน้าจอที่สว่าง ๆ จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมน "เมลาโทนิน" ที่ช่วยควบคุมการนอนหลับ เนื่องจากการปล่อยฮอร์โมนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับแสงสว่างเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นปัญหาต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้เด็กนอนฝันร้าย หรือนอนไม่หลับ ซึ่งมีผลทำลายการทำงานของเซลล์ประสาท ส่งผลระยะยาวไปถึงตอนโตได้
7. ปวดเมื่อยคอ
ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่เด็กก้มมองจอโทรศัพท์ มักจะก้มคอราว 60 องศา ซึ่งเป็นท่าที่ไม่เหมาะสม เพราะจะส่งให้เกิดอาการปวดคอได้หากก้มเป็นเวลานาน ๆ
8. ปวดหัว ปวดตา
การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน จะส่งให้ได้รับรังสีจากคลื่นโทรศัพท์ที่แผ่ออกมามากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งรังสีดังกล่าวอาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมา นั่นคือปวดศีรษะ ปวดตา หรือบางรายก็อาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่านั้น
9. พฤติกรรมก้าวร้าว
หากเด็ก ๆ เล่นโทรศัพท์มือถือจนติด หรือพ่อแม่ใช้โทรศัพท์เป็นสิ่งหลอกล่อให้เด็กทำตามคำสั่ง ผลเสียที่ตามมาก็คือเมื่อเด็กไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาที่ต้องการ มักจะเกิดอาการหงุดหงิด ก้าวร้าว เพราะไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กที่ติดเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ
10. จินตนาการหดหาย
จินตนาการในวัยเด็กเป็นของขวัญที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่ง แต่การปล่อยให้เด็กเรียนรู้ผ่านรายการในโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ซึ่งมักจะบอกแนวความคิดว่าเด็กต้องทำอย่างไร คิดอย่างไร ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ทำให้เกิดการจำกัดจินตนาการของเด็ก ๆ ได้
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดคู่มือแนะนำใหม่ขึ้นสำหรับพ่อแม่และผู้ปกครอง ในการควบคุมเวลาหน้าจอสำหรับเด็กเป็นครั้งแรก โดยระบุว่า
เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ขวบที่ยังเดินไม่ได้
- ควรมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งรวมถึงการนอนคว่ำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- ไม่ควรอยู่ในรถเข็น หรือผูกติดบนหลังใครนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง
- ควรนอนหลับให้ได้ 12-17 ชั่วโมงต่อวัน
- ไม่ควรอยู่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เลย
เด็กอายุ 1-2 ขวบ
- ควรมีกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง
- ควรนอนหลับอย่างน้อย 11-14 ชั่วโมง
- ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง
เด็กอายุ 3-4 ขวบ
- ควรทำกิจกรรมทางกายวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวปานกลางถึงแข็งแรงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- ควรนอนหลับพักผ่อน 10-13 ชั่วโมง
- ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอเกิน 1 ชั่วโมง
นอกจากนี้ สถาบันกุมารศาสตร์แห่งสหรัฐฯ (The American Academy of Pediatrics) ก็ไม่ส่งเสริมให้มีการใช้สื่อหน้าจอในเด็กเช่นเดียวกันค่ะ ยกเว้นการคุยกันผ่านวิดีโอ (Video chat) สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 1 ขวบครึ่ง - 2 ขวบ สามารถทำได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับคนในครอบครัว ส่วนเด็กอายุระหว่าง 2-5 ขวบนั้น ควรรับชมรายการที่มีคุณภาพเป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน
ทั้งนี้ ในการให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอ คุณพ่อและคุณแม่ควรจะสกรีนเนื้อหาของรายการที่ลูกดูก่อนทุกครั้ง และควรดูไปพร้อมกับลูก ๆ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจ มอบความรักความอบอุ่นแก่ลูกค่ะ
แต่ทางที่ดี Dr.Juana Willumsen ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก แนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ปกครองควรนำการเล่นที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ๆ กลับมา ไม่ว่าจะเป็นการได้เคลื่อนไหวร่างกาย การวิ่งเล่น การร้องเพลง การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การต่อจิ๊กซอว์ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากเวลาที่เด็กอยู่กับที่ไปเป็นเวลาเล่น ซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ ได้ออกกำลังกายและเสี่ยงต่อโรคอ้วนน้อยลงด้วยนั่นเองค่ะ
ข้อมูลจาก : องค์การอนามัยโลก, evoke.ie, healthychildren.org, awomanlessordinary.com