เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เว็บไซต์เดลี่เมลรายงานเมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา อ้างอิงการรายงานจากราชวิทยาลัยแพทย์ผดุงครรภ์ ระบุว่า อังกฤษและประเทศอื่น ๆ ในเครือราชภพกำลังประสบภาวะวิกฤตขาดแคลนผู้ผดุงครรภ์ เนื่องจากมีจำนวนคุณแม่ท้องเพิ่มขึ้นมาก แม้แผนกทำคลอดของหลาย ๆ โรงพยาบาลใช้ทรัพยากรของฝ่ายทำคลอดและผดุงครรภ์ไปเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับคุณแม่ท้องที่ติดต่อเข้ามาได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องปฏิเสธคุณแม่ท้องบางรายไป บางแห่งก็จำต้องลดการบริการทำคลอดของตัวเองลงเพราะไม่มีบุคลากรที่มีความชำนาญให้บริการอย่างเพียงพอ ทำให้แม่ท้องหลายรายต้องเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นที่ไกลออกไป เพิ่มความเสี่ยงแก่ลูกในท้องมากขึ้น
อัตราการเกิดของเด็กในสหราชอาณาจักรมีอัตราสูงอย่างสม่ำเสมอมาอย่างต่อเนื่อง และยิ่งเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2012 มีอัตราการเกิดถึง 813,200 ราย เป็นจำนวนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา เนื่องจากมีทั้งคุณแม่ต่างชาติที่แต่งงานแล้วมาตั้งรกรากที่นี่ แม่ท้องในวัยสาว รวมไปถึงคุณแม่เวิร์กกิ้งวูแมนที่ท้องในวัยหลังเลข 4 ไปแล้ว แผนกดูแลครรภ์และทำคลอดและของหลายโรงพยาบาลจึงต้องทำงานกันอย่างหนักในการดูแลและทำคลอดคุณแม่เหล่านี้ จนเกิดเป็นวิกฤตบริการดูแลครรภ์และทำคลอดไม่รองรับเพียงพอต่อความต้องการ
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา กว่า 1 ใน 4 ของโรงพยาบาลในสหราชอาณาจักร ต้องจำกัดการให้บริการการทำคลอดที่บ้าน ที่จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์ไปยังบ้านของคุณแม่แต่ละราย และดึงเจ้าหน้าที่ส่วนนี้ให้มาอยู่รองรับแม่ท้องที่มาใช้บริการอย่างล้นหลามที่โรงพยาบาลแทน สถานการณ์เช่นนี้จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์ทุกคนทำงานหนักขึ้น ทั้งในด้านการรองรับจำนวนการทำคลอดที่มีมากขึ้น ความเหน็ดเหนื่อยและกดดันจากการให้บริการ รวมไปถึงการทำคลอดที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากคุณแม่ที่ท้องในหลังเลข 4 และคุณแม่ที่มีโรคแทรกซ้อนอย่างโรคเบาหวาน ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
แม้ว่าจะมีการจ้างงานเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ราย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่จากการประเมินแล้วก็พบว่า ยังต้องการเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์เพิ่มอีกกว่า 5,000 ราย เพื่อจะสามารถให้บริการและดูแลคุณแม่ท้องแก่และคุณแม่ลูกอ่อนหลังคลอด ได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
วิกฤตการณ์ขาดแคลนซึ่งผู้ผดุงครรภ์นี้ เป็นเพียงส่วนยอดของปัญหาที่แสดงออกมาให้เห็น ในขณะที่ปัญหาใหญ่กว่ากำลังจะตามมาหากว่าโรงพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถจัดการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อผู้ผดุงครรภ์ขาดแคลน ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าแม่ท้องและทารกที่เกิดใหม่จะได้รับการดูแลใส่ใจไม่ทั่วถึงหรือน้อยลง รวมไปถึงคุณแม่และครอบครัวหรือคนที่เกี่ยวข้องในการเลี้ยงดูทารกก็ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมในการเลี้ยงดูเด็กจากผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องเด็กน้อยลงด้วย ส่งผลถึงคุณภาพชีวิตและสุขภาพของเด็กที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต
จากวิกฤตการณ์นี้จึงทำให้เป็นว่าอาชีพผู้ผดุงครรภ์มีความสำคัญไม่น้อย และถือว่าสำคัญที่สุดในการทำคลอดและดูแลทารกน้อยของคุณแม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในส่วนนี้จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อ ๆ ไป ยังไปถึงเรื่องสุขภาพและคุณภาพชีวิตของทารก ที่จะเติบใหญ่ไปเป็นอนาคตของประเทศด้วยนั่นเอง