สาเหตุ..คลอดก่อนกำหนด (momypedia)
การคลอดก่อนกำหนดคืออะไร
สาเหตุที่ทำให้คลอดก่อนกำหนด
อาการเริ่มต้นของการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
การป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับทารกคลอดก่อนกำหนด
การดูแลลูกคลอดก่อนกำหนดเมื่อกลับบ้าน
การคลอดก่อนกำหนดคืออะไร
การตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ เราจะเรียกว่าครบกำหนดที่ 38-41 สัปดาห์ คือประมาณ 9 เดือนโดยเฉลี่ย หากคลอดก่อน 37 สัปดาห์ ทางการแพทย์ถือว่าคลอดก่อนกำหนด แต่ทารกที่คลอดก่อนกำหนดน้อย ๆ เช่น 1-2 สัปดาห์ คือคลอดเมื่อ 35 หรือ 36 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ทารกที่จะมีปัญหามาก ๆ คือทารกที่คลอดก่อนกำหนดมาก ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยมาก ๆ คือ มีน้ำหนักตัวตอนเกิดน้อยกว่า 1.5 กิโลกรัม ทารกในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทารกที่การตั้งครรภ์สิ้นสุดที่อายุครรภ์ประมาณ 32-33 สัปดาห์ ยิ่งคลอดก่อนกำหนดมากเท่าไรปัญหาก็ยิ่งมากขึ้น
สาเหตุที่ทำให้คลอดก่อนกำหนด
ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดมีหลายอย่างคือ
1. คุณสมบัติส่วนตัวและโรคประจำตัว
คุณแม่ที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี หรือมากกว่า 35 ปี จะมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้มากกว่าคุณแม่ที่มีอายุระหว่าง 18-34 ปี
คุณแม่ที่เคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อน ถ้าเคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อนหนึ่งครั้ง มีโอกาสในการคลอดก่อนกำหนดครั้งต่อไปมีถึงร้อยละ 25 แต่ถ้าเคยคลอดก่อนกำหนดติดกัน 2 ครั้ง โอกาสในท้องต่อไปจะเพิ่มยิ่งขึ้นเป็นร้อยละ 50 ทางแพทย์เชื่อว่าระบบอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บท้องคลอดของคุณแม่คงมีการทำงานผิดปกติ
คุณแม่ที่แท้งบ่อย ๆ มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดในการตั้งท้องต่อมามากขึ้น
คุณแม่ที่มีมดลูกผิดปกติ มดลูกพิการมาแต่กำเนิด เช่น มีผนังกั้นภายในโพรงมดลูก หรือมดลูกมีเนื้องอกร่วมด้วย ทำให้โพรงมดลูกมีรูปร่างผิดปกติ และคับแคบเกินกว่าที่ทารกจะเจริญเติบโตตามปกติ จึงคลอดออกมาก่อนกำหนด
คุณแม่ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต ทำให้ทารกในท้องเจริญเติบโตได้ไม่ดี ตัวเล็ก และคลอดก่อนกำหนดได้
2. ชีวิตประจำวัน
คุณแม่ที่สูบบุหรี่เป็นประจำหรือถึงแม่คุณแม่ไม่สูบบุหรี่แต่อยู่ใกล้ชิดคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะทำให้ทารกในครรภ์ตัวเล็กและคลอดก่อนกำหนดได้
คุณแม่ที่ดื่มสุราและเบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ทุกชนิดจะทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตไม่ดีและคลอดก่อนกำหนด นอกจากนั้น อาจจะคลอดทารกออกมาพิการ
สภาพการทำงานที่หนักเกินไป เช่น งานที่ต้องนั่งนาน ๆ วันละหลายชั่วโมง งานที่ต้องใช้แรงมาก จะทำให้คุณแม่เหนื่อยง่ายและมีปริมาณเลือดไปเลี้ยงมดลูกลดลง เพราะต้องแบ่งเลือดส่วนหนึ่งไปให้ตัวแม่เอง เพื่อสร้างพลังงานทดแทนในส่วนที่เสียไปจากการทำงานหนักมากกว่าปกติ ผลจะทำให้ทารกขาดสารอาหารและก๊าซออกซิเจน ทารกจะตัวเล็กและคลอดก่อนกำหนด
ความเครียด ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากงานหรือปัญหาในครอบครัว ทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
3. ปัญหาและภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์แฝด
เลือดออกขณะตั้งครรภ์
ปากมดลูกหลวม
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
อาการเริ่มต้นของการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
โดยปกติในระยะตั้งครรภ์เกิน 6 เดือนขึ้นไป คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกหดตัวเบา ๆ เป็นพัก ๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวด (อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเด็กโก่งตัว) เป็นการฝึกหัดตัวเองของมดลูกที่จะบีบตัวเมื่อถึงกำหนดคลอด การหดตัวของมดลูกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีการหดตัวบ่อย ๆ ถี่เกินไป ท้องตึงแข็งอยู่เป็นเวลานาน และมีอาการอื่นร่วมด้วย ก็แสดงว่าอาจจะมีการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
อาการต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่
มีอาการปวดท้องเป็นพัก ๆ พร้อมกับเวลาที่มดลูกหดตัว อาการปวดท้องนี้จะคล้ายกับเวลาที่คุณแม่ปวดประจำเดือน ทั้งที่ขณะนั้นคุณแม่ไม่มีอาการท้องเสียหรืออาหารไม่ย่อยเลย
มีอาการปวดหลังชนิดที่ร้าวลงไปถึงด้านล่างบริเวณก้นกบร่วมกับการปวดท้อง
ปวดถ่วงในอุ้งเชิงกราน อาจจะร้าวไปที่ต้นขา
มีเลือดออกทางช่องคลอด
มีน้ำไหลออกจากช่องคลอดหรือระดูขาวออกมา บางทีอาจจะมีมูกปนเลือดออกมาด้วย
การป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
ถ้ามีอาการเหล่านี้ขอให้รีบไปพบแพทย์ ซึ่งจะต้องรับตัวคุณแม่ไว้ในสถานพยาบาล และให้ยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก ถ้าปากมดลูกยังขยายไม่มากก็จะได้ผลดี สามารถให้ทารกอยู่ในครรภ์ต่อไปได้อีกจนกระทั่งใกล้กำหนดคลอดมากที่สุด
แต่ถ้าแพทย์ประเมินแล้วว่าไม่สามารถหยุดยั้งการหดตัวของมดลูกได้ แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์พวกเบตาเมธาโซน (Betamethasone) หรือเด็กซาเมธาโซน (Dexamethasone) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพื่อช่วยให้ปอดของทารกทำหน้าที่ได้ดีขึ้น ช่วยให้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดนั้นมีโอกาสรอดมากขึ้น
ยานี้จะได้ผลเมื่อฉีดเข้าไปอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง และยาจะมีประโยชน์อยู่ 7 วัน หลังจากนั้นอาจจะต้องให้ซ้ำ แต่ยานี้ก็มีจำกัดการใช้ด้วย คือไม่สามารถให้ได้ทุกราย ในกรณีที่มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด หรือสงสัยว่าจะมีการอักเสบในร่างกายของคุณแม่ ไม่สามารถให้ยาชนิดนี้ได้
การคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาที่สำคัญทางด้านอนามัยแม่และเด็ก แม้ว่าความเจริญทางด้านการแพทย์จะสามารถช่วยให้ทารกที่คลอดออกมาก่อนกำหนดนั้นมีชีวิตอยู่รอดได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ก็มีจำนวนมากที่มีความพิการหรือเสียชีวิต จึงมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันไว้ก่อนโดยการส่งเสริมสุขภาพของคุณแม่ให้ดีก่อนที่จะตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้วก็รีบไปฝากครรภ์ และปฏิบัติตนตามที่ได้รับคำแนะนำ เมื่อมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นก็ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและทันท่วงที ถ้าป้องกันแล้วยังเกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดอีก ก็ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อให้ยาระงับการเจ็บครรภ์และให้การดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับทารกคลอดก่อนกำหนด แบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ ๆ ได้แก่
1. ภาวะที่เกิดขึ้นทันทีหลังคลอด
ภาวะปอดไม่สมบูรณ์ ยิ่งอายุครรภ์น้อยยิ่งเกิดมาก อย่างที่รู้กันว่าทารกคลอดก่อนกำหนดปอดไม่ค่อยสมบูรณ์ เป็นเพราะขาดสารเคมีบางชนิดในปอด ซึ่งสร้างไม่พอในช่วงตอนที่เกิด สารตัวนี้ทารกส่วนใหญ่ก็จะสร้างครบได้เมื่อ 35 สัปดาห์ สารตัวนี้เป็นสารลดความตึงผิวของถุงลม (Surfactant) ทำหน้าที่ให้ถุงลมโป่งง่าย ทำให้หายใจโดยที่ใช้แรงน้อยลง ในผู้ใหญ่เรามีประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทารกแรกเกิดแม้ครบกำหนดก็จะขาดนิดหน่อย มีประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
ภาวะเลือดออกในสมองอย่างเฉียบพลัน เพราะสมองทารกที่คลอดก่อนกำหนดยังค่อนข้างนิ่มมาก ยิ่งคลอดก่อนกำหนดมากเท่าไรสมองยิ่งนิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเมื่อคลอดต้องผ่านอะไรหลาย ๆ อย่าง มีการเขย่า เจอแสงสว่าง เจอความตกใจ เจอร้อนเย็นต่างกัน ไม่เหมือนอยู่ในท้องแม่ ก็ทำให้ความดันเลือดค่อนข้างผันผวน อาจทำให้เส้นเลือดในสมองบางเส้นแตก ซึ่งเกิดได้ประมาณ 30% ของทารกที่คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1.5 กิโลกรัม
ปัจจุบันยังไม่มีทางป้องกัน ทารกคนไหนเลือดออกในสมองมากก็จะเสียชีวิต ทารกที่เลือดออกน้อย 90% จะไม่ออกอาการอะไรเลย แล้วก็เติบโตได้โดยไม่มีปัญหา
โรคติดเชื้อ ทารกคลอดก่อนกำหนดบางส่วนจะคลอดเพราะแม่มีการติดเชื้อในช่องคลอดหรือน้ำเดิน ถุงน้ำแตก ทำให้ทารกได้รับเชื้อเข้าไป เมื่อทารกติดเชื้อปุ๊บ ร่างกายของแม่จะขับทารกออกก่อนกำหนด เทารกบางคนจึงอาจมีภาวะติดเชื้อออกมาตั้งแต่เกิดเลย ก็ทำให้ทารกตายได้ แต่กรณีนี้เกิดไม่บ่อยเท่าไร
2. ภาวะติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายหลัง
ภาวะลำไส้เน่าตายอย่างเฉียบพลัน ลำไส้ทารกคลอดก่อนกำหนดที่ทำงานอยู่อาจเน่าขึ้นมาโดยที่ไม่มีทางป้องกัน ไม่ทราบสาเหตุ ภาวะนี้เกิดได้ประมาณ 10% ของทารกทั้งหมดที่เกิดมาตัวเล็ก ยิ่งตัวเล็กก็ยิ่งเกิดเยอะ ใน 10% นี้ ครึ่งหนึ่งจะมีอาการเพียงเล็กน้อย คือ มีลำไส้ขาดเลือดชั่วคราว ท้องอืด กินนมไม่ได้ประมาณ 7-10 วัน อีก 25% มีลำไส้ตายแต่ไม่ทะลุ ซึ่งไม่ต้องทำอะไร รอเฉย ๆ แต่ต้องงดนมไปประมาณ 1-2 อาทิตย์ ให้ลำไส้รักษาตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะหายไปเองโดยไม่มีปัญหา ส่วน 25%ที่เหลือลำไส้ทะลุแล้วทารกเสียชีวิต
การหยุดหายใจในทารกแรกเกิด เนื่องจากอยู่ในท้องแม่ ทารกไม่จำเป็นต้องหายใจเอง หายใจเองบ้าง ลืมบ้างได้ พอคลอดออกมาใหม่ ๆ บางทีอยู่เฉย ๆ เขานอนเงียบไปเลย เมื่อก่อนเราต้องใช้วิธีผูกขากระตุกเอาเป็นการป้องกัน เพราะทารกจะหยุดหายใจตอนหลับ แต่ตอนตื่นกระดุกกระดิกไม่ค่อยหยุดหายใจ แต่พวกนี้บางทีนอนหลับไปเฉย ๆ เขียวไปเลยตายได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อทารกครบกำหนดคลอด เช่น บางคนคลอดเมื่อ 32 สัปดาห์ พอเราเลี้ยงไปสัก 5 สัปดาห์เป็น 37 สัปดาห์ อาการหยุดหายใจก็จะหายไปเอง แต่บางครั้งก็ทำให้พ่อแม่เกิดความกลัวและกังวลกับอาการนี้เช่นกัน
ภาวะโรคปอดเรื้อรัง ทารกคนไหนที่ใส่เครื่องช่วยหายใจ พอโรคปอดในระยะแรกหายแล้ว แต่เขายังหายใจเองไม่ได้ ไอเองไม่เป็น ไอไม่ค่อยแรง เสมหะก็ออกจากปอดไม่ได้ ทำให้ทารกต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจไปถึงจุดซึ่งทารกอ้วนพอที่จะมีแรงไอได้ บางทีก็ทำให้ปอดทารกมีปัญหาคล้าย ๆ คนสูบบุหรี่ คือ โดนออกซิเจน โดนแก๊สไม่ได้ จะไอเรื้อรัง แต่โรคปอดนี้หลังจากเอาเครื่องช่วยหายใจออกจะหายไปเองภายใน 1-2 ปี แต่ บางคนที่มีปัญหามาก พอเด็กอายุสัก 9-10 ปีก็อาจเป็นหอบได้ ส่วนใหญ่ที่รอดจากระยะแรกก็จะเป็นปกติ ภายใน 1-2 ปี อาจจะมีบางคนที่เป็นหวัดแล้วจะปอดบวมเพราะเด็กพวกนี้ระยะแรกปอดยังไม่ค่อยดีเท่าไร
พัฒนาการช้า พบได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งครึ่งหนึ่งสามารถเป็นปกติได้โดยการกระตุ้น ปัจจุบันเมืองไทยมีโครงการกระตุ้นเด็กเรียกว่า early intervention คือ การกระตุ้นเด็กระยะแรก มีการสอนพ่อแม่ให้กระตุ้นเด็ก ทำให้พัฒนาการเขาดีขึ้นได้ อีกครึ่งหนึ่งค่อนข้างจะลำบาก คือสมองพิการไปเลย ทำอะไรไม่ได้มาก แล้วยังมีเดินไม่ค่อยได้ แต่สมองปกติ ไอคิวปกติ กลุ่มนี้ต้องใช้เครื่องช่วยเดิน แต่เขายังสามารถช่วยตัวเองได้
การดูแลลูกคลอดก่อนกำหนดเมื่อกลับบ้าน
ขณะอยู่โรงพยาบาลแพทย์จะคอยดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนดอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งทารกมีน้ำหนักมากกว่า 1.8–2 กิโลกรัม หรือจนสามารถลดการใช้ตู้อบ มีการดูดกลืนได้ดี และไม่มีภาวะแทรกซ้อน จึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ก็ยังคงนัดไปตรวจอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 1-2 อาทิตย์ และเมื่อกลับมาอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ต้องมีการดูแลลูก ดังต่อไปนี้
จัดสภาพแวดล้อม ควรจัดบรรยากาศในบ้านให้อากาศถ่ายเท ไม่อับชื้น เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายในของลูกไม่เย็นหรือร้อนเกินไป แต่บ้านเราเป็นเมืองร้อนภาวะตัวเย็นในทารกคลอดก่อนกำหนดก็ไม่น่ากังวลเท่าไร แต่หากมีอาการตัวร้อนขึ้นมาควรรีบพาไปหาแพทย์ทันที
ความสะอาด เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ อาหารการกินของลูกน้อย เพราะทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่าง ๆ มากกว่าเด็กปกติ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในบ้านก็ต้องสะอาดด้วย
ส่งเสริมพัฒนาการ ระบบสมองของทารกจะเจริญเร็วในช่วง 6-7 สัปดาห์สุดท้ายในการตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีพัฒนาการล่าช้าบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะคอยเช็คพัฒนาการ เช่น การได้ยินและการมองเห็นอยู่เป็นประจำ คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะกระตุ้นลูกน้อยได้ด้วยเสียงดนตรีเบา ๆ ใช้การพูดคุยของคุณพ่อคุณแม่กับลูกบ่อย ๆ และใช้สีและแสงอย่างเหมาะสม
นม สำหรับทารกคลอดก่อนกำหนด แพทย์จะแนะนำว่าให้กินนมแม่เป็นหลัก แต่ก็อาจจะต้องกินนมสูตร Enrich Post-discharge Formula เสริมควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยให้ทารกทำน้ำหนักดีขึ้น ถ้าน้ำหนักตัวขึ้น 40-50 กรัมต่อวันก็ถือว่าใช้ได้ แต่ก็ต้องมีการประเมินดูในระยะยาวต่อไป
ระบบหายใจ ยังคงต้องมีการระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะการหายใจอาจมีปัญหาได้ เช่น มีเสมหะอุดตัน มีน้ำมูก ทำให้หายใจไม่สะดวกหรือไม่ หายใจอกบุ๋ม หายใจเสียงดังครืดคราด คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องพากลับมาตรวจใหม่ โดยเฉพาะเวลาดูดนมแม่จะเห็นได้ชัด ดังนั้นเวลาอุ้มให้นมลูก ก็ควรจะอุ้มลูกให้สูงขึ้น เพื่อระวังการสำลักนมด้วย
อาการที่บ่งบอกว่าไม่สบาย หากลูกเกิดมีไข้ ตัวร้อน ติดเชื้อน้ำมูกเขียวข้น ดูดนมได้น้อยลง น้ำหนักไม่ขึ้น ตัวเหลือง หรือตาเหลือง คุณแม่ต้องรีบพาไปพบแพทย์ก่อนถึงเวลานัด ถือเป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องรีบไปให้ทันเวลา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก