จัดการเท้าบวมช่วงตั้งครรภ์ (รักลูก)
โดย : เพียงขวัญ
ถ้าแม่ตั้งครรภ์กำลังมีปัญหาเท้าบวมอยู่ ไม่ต้องกังวลใจ เพราะเรามีเคล็ดลับดับอาการเท้าบวม ที่ทั้งง่ายและได้ผลดีมานำเสนอ
เท้าเอยทำไมจึงบวม?
เท้าบวมเป็นหนึ่งในหลายอาการที่คุณแม่ท้องมักประสบ โดยเฉพาะไตรมาสท้าย ๆ สาเหตุมีหลายอย่างค่ะ อาทิ
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ขนาดของมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น แล้วไปกดเส้นเลือดบริเวณขา ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก
คุณแม่มีกิจวัตรประจำวันที่ต้องยืน เดิน หรือนั่งท่าเดิมนาน ๆ
แรงดึงดูดของโลกทำให้ของเหลวในร่างกายของคุณแม่ไหลมารวมกันที่เท้า
How to สู้เท้าบวม
การป้องกันและบรรเทาอาการเท้าบวมนั้น ทำได้ไม่ยุ่งยาก ซึ่งรับรองว่าเอาอยู่แน่ ๆ เพียงคุณแม่ทำตามเคล็ดลับดังต่อไปนี้ค่ะ
ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะอาการเท้าบวมจะยิ่งแย่ลงหากร่างกายขาดน้ำ ในแต่ละวันคุณแม่จึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอค่ะ
หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม เพราะเกลือเป็นสาเหตุให้เกิดอาการบวม
ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นจะทำให้เกิดอาการเท้าบวมและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือกีฬาอื่น ๆ ตามความชอบ แต่กีฬาบางชนิด เช่น โยคะ พิลาทีส ฟิตเนส ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนะคะ
ออกกำลังเท้าและข้อเท้าให้แข็งแรง ด้วยการกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง และหมุนข้อเท้าช้า ๆ เป็นประจำ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นและช่วยลดอาการบวมได้
หลีกเลี่ยงการเดินหรือยืนนาน ๆ หากจำเป็นควรพักบ่อย ๆ โดยการนั่งแล้วยกเท้าสูงขึ้น
ไม่นั่งไขว่ห้าง เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกส่งผลให้เท้าบวมได้ค่ะ หากต้องนั่งทำงานติดต่อกันนาน ๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเหยียดขาตรง ๆ บ้าง หมุนข้อเท้า หรือลุกเดินบ้างนะคะ
เสื้อผ้า-รองเท้าต้องไม่คับ หากคุณแม่สวมเสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า รองเท้า ที่รัดแน่นเกินไปจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ในกรณีที่เท้าบวมคุณแม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าตามขนาดของเท้าที่เปลี่ยนไปด้วยนะคะ โดยเลือกขนาดที่พอดีไม่คับเกินไป ส้นเตี้ย และยึดเกาะพื้นได้ดี
แช่เท้าในน้ำอุ่น ประมาณ 15-20 นาที จะช่วยบรรเทาอาการปวดและบวมที่เท้าได้ คุณแม่จะหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปด้วยก็ไม่ว่ากันค่ะ
นอนยกเท้าสูง โดยใช้หมอนรองขา อ้อ...ในแต่ละวันควรหาโอกาสนอนราบแล้วยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจสัก 2-3 ครั้ง ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
แต่หากปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้แล้วเท้ายังคงบวม หรือมีทีท่าว่าอาการจะหนักขึ้น ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุว่าเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่นหรือไม่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก