แวร์ โซว คุณแม่ยอดนักสู้ (ภาพยนตร์บันเทิง)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก แวร์-โซว-คนดี-โซว
เรื่อง : เสาวรส
พูดถึงการเป็นซิงเกิลมัมของผู้หญิงสมัยนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนสมัยก่อน เพราะสังคมเปิดกว้างให้กับผู้หญิงมากขึ้นในเรื่องของความสามารถและหน้าที่การงาน แต่ถ้าเลือกได้เชื่อว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่อยากจะเป็นซิงเกิลมัม ทุกคนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์แบบอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูก แต่พื้นฐานในการดำเนินชีวิตคู่ของแต่ละครอบครัวย่อมแตกต่างกัน มีปัญหาแตกต่างกัน บางครอบครัวปรับตัวหรือทำความเข้าใจกันไม่ได้ ปัญหาการเลิกราการหย่าร้างก็เกิดขึ้น ผู้หญิงต้องกลายเป็นซิงเกิลมัมทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน
เช่นเดียวกับนักแสดงสาวคนนี้ แวร์ โซว หรือ ณิชาภา แซ่โซว เธอกลายเป็นซิงเกิลมัมตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตั้งท้องด้วยซ้ำไป หลังจากเลิกรากับแฟนหนุ่ม แต่พอรู้ว่าตัวเองท้องเธอก็พร้อมที่จะทำความเข้าใจและยอมรับสภาพของการเป็นซิงเกิลมัมโดยไม่มีคำว่าท้อแท้สิ้นหวังที่ต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาวคือ "น้องคนดี" ด.ญ.ภริตพร แซ่โซว ทำให้หลายคนอาจจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
"เชื่อไหมมีคนถามแวร์เยอะมากทำไมแวร์เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวจังเลย จริง ๆ แล้วเราไม่ได้เข้มแข็งหรอก แต่วิธีคิดของเราถ้าเราอยู่ในโลกของความเป็นจริงและเข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิตว่าเราเลิกกับแฟนมาและรู้ตัวเองท้องนะ ทำไง ก็เลี้ยงลูกสิ ก็เป็นไปตามสเต็ปขั้นตอนของมัน แต่คนส่วนมากพอรู้ตัวเองท้องจะฟูมฟายทำไงดี แต่ถามว่าแวร์คิดมากไหม คิดตรงที่เราจะทำอะไรที่มั่นคงยังไง และเราจะมีภูมิความรู้เลี้ยงลูกให้ดีได้ไหมอันนั้นคิด แต่มาตระหนกตกใจคิดว่าฉันท้องฉันไม่ได้แต่งงานใครจะหาเลี้ยง ทำไมเขาไม่มาส่งเสียเลี้ยงดูเราและลูก แวร์ไม่คิด เพราะเราทำงานเราอายุ 30 ก็โตแล้ว และมีบางคนชอบบอกว่าเราคิดต่าง เราบอกไม่ได้คิดต่างแต่เราคิดทุกอย่างตามความเป็นจริงของมนุษย์ ของการอยู่บนโลกใบนี้ แต่คนส่วนมากชอบคิดตามจินตนาการความฝัน แต่พอไม่เป็นอย่างนั้นเราก็ต้องยอมรับความเป็นจริง แต่คนส่วนมากรับไม่ได้"
ไม่ท้อเมื่อมีลูกแต่ท้อกับเรื่องสภาพแวดล้อมของคนรอบข้าง
"เรื่องสภาพแวดล้อมของคนรอบข้างและวิธีคิดหรือสังคมสมัยนี้ เพราะการเลี้ยงเด็กสมัยก่อนเรื่องเทคโนโลยีสิ่งล่อแหลมสิ่งยั่วยุหรือมากระตุ้นให้เด็กมีปัญหาในสังคมหรือใจแตกแหลกเหลวกับชีวิตน้อยกว่าสมัยนี้ สมัยนี้เด็กไม่ถึงขวบจิ้มแท็บเล็ตได้แล้ว แล้วสังคมเมื่อก่อนเราเดินไปไหนเพื่อนบ้านคนรู้จักช่วยกันดูแลอย่าไปเล่นไหนไกล แต่สมัยนี้เพื่อนบ้านนี่แหละลากไปทำอะไรก็ไม่รู้ มันน่ากลัว และวิธีการคิดของคนอย่างเราสอนลูกว่าเรามีกันสองคนแม่ลูก คนดี ต้องเชื่อฟังแม่เวลาบอกอะไร หรือใครเอาอะไรมาให้กินหรือชวนไปไหนต้องมาบอกแม่ก่อน นี่คือเราสอนลูก ซึ่งเราไม่ได้หวงลูกแต่นี่คือวิธีการดูแลและป้องกันตัวเองให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด เราป้องกันไว้ก่อนมันดี แต่กลายเป็นว่าบางทีเราไปทำงานอยู่บนเวทีหรือสัมภาษณ์อยู่มีคนเอาอะไรไม่รู้มาส่งให้ลูกเรากิน พอลูกเราบอกว่าขอถามแม่ก่อน คนนั้นบอกว่าแม่จะคุยเสร็จอีกนานกินไปเลยแม่ไม่รู้หรอก ไม่ให้ลูกบอกความจริงกับเรายังสอนให้ลูกเราโกหกอีก โดยที่คุณไม่รู้หรอกสิ่งที่คุณกำลังทำกำลังปลูกฝังให้เด็กได้รับอันตรายโดยไม่รู้ตัว พอเขาได้กินได้เล่นกับคนอื่นก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นอันตรายเลยแล้วแม่บอกอันตรายตรงไหน ทีนี้คำพูดของแม่ก็จะไม่มีความหมายเขาก็จะไม่ฟังเรา เราก็เลยพยายามคุยกับลูกเยอะ ๆ บอกคนดีคนที่หวังดีและรักลูกที่สุดในชีวิตคือแม่นะ คนอื่นเขาเอ็นดูหนูเพราะหนูน่ารักหรืออยากช่วยเหลือ แต่ลืมไปว่าสิ่งที่เขาทำกับหนูจะเป็นผลที่ไม่ดีกับหนูในอนาคต แวร์จะพูดกับเขาเสมอ"
น้องคนดีเป็นเด็กฉลาดและเรียนรู้ได้เร็วจึงเข้าใจในสิ่งที่แม่สอน แต่จะเกิดอาการต่อต้านเพราะสภาพแวดล้อม
"เราว่าลูกเข้าใจแต่เขาต่อต้าน เพราะพอลูกเราไปโรงเรียนตั้งแต่ขวบครึ่งไปได้ไม่เกิน 4 วัน จากเด็กมีน้ำใจและน่ารักกลายเป็นเด็กก้าวร้าว แวร์เลยไปถามครูทำไมน้องมาโรงเรียนแล้วก้าวร้าวขึ้น ครูบอกเพราะในชั้นเรียนมีเด็กผู้ชายเยอะเลยเกเรตามพฤติกรรมเลียนแบบ เราเลยเอาลูกออกจากโรงเรียน รอจนเขาอายุ 2 ขวบกว่าก็ไปเข้าเตรียมอนุบาล ปกติลูกเราสามารถถือแก้วน้ำได้และมีน้ำใจถามแม่ขาดื่มน้ำไหม แม่ขามีอะไรให้หนูช่วยทำไหมคะ น่ารักอ่ะ แต่พอไปโรงเรียนกลับมาเราสังเกตระยะหนึ่งลูกกลายเป็นเด็กขี้เกียจ อยากกินขนม อยากกินน้ำ แต่ไม่ยอมไปหยิบเอง เราก็ทำไมลูกเป็นแบบนี้ ก่อนไปลูกเรามีความอยากเรียนรู้และมีแรงจูงใจ แต่พอไปแล้วไม่เอาอะไรเลยและขี้เกียจ
แล้วแวร์ไม่เข้าใจสังคมไทยเป็นยังไง เด็กที่มีความสามารถทำอะไรได้เองมักจะถูกเมินเฉย แต่เด็กที่ทำอะไรไม่ได้งอแงคนจะไปรุมเอาใจประคบประหงม ลูกเราก็เลยมีความรู้สึกอยากให้คนสนใจก็เลยไม่ทำบ้างดีกว่า โดยการไม่ฟัง และไม่สังเกต ไม่เรียนรู้ ไม่พัฒนาตัวเอง อะไรที่ทำได้ก็แกล้งทำไม่ได้ เราก็ไปหาครูถามทำไมน้องเป็นแบบนี้ ครูก็บอกคุณแม่ใจเย็น ๆ น้องยังเด็ก เชื่อไหมแวร์เบื่อคำนี้มากเลย ก็เลยรอให้ลูกเรียนจบเทอมหนึ่ง พอเทอมสองเอาออก คือแวร์มีความเชื่อมั่นและศรัทธากับสถาบันการศึกษานะพี่ ก่อนเอาลูกไปโรงเรียนก็คุยกับครูก่อนว่าเราสอนลูกมาแบบนี้ลูกเราทำอะไรได้บ้าง เราบอกเขาหมด ซึ่งเรามั่นใจว่าที่นี่ต้องดูแลลูกเราได้ดี แต่พอเรามาสังเกตพฤติกรรมแต่ละวัน แรก ๆ เราคิดมากไปหรือเปล่าแต่ก็ไม่ใช่ ถ้ามาโรงเรียนแล้วเด็กไม่มีการพัฒนาก็อย่ามา ลูกเราเป็นเด็กมั่นใจไม่กลัวคนเพราะเราพาเขาไปไหนมาไหนแต่เด็กและเป็นเด็กกิจกรรม แต่พอมาโรงเรียนกลายเป็นลูกไม่เชื่อฟังเราแต่เชื่อครูมากกว่า และมีเถียงเราด้วย เคยโกหก แถมยังปลอมลายเซ็นเราด้วย
ตอนอายุ 5 ขวบ ต่อหน้าแม่ก็ค่ะ ๆ ๆ แต่ลับหลังแสบทรวงมาก พอรู้แวร์ร้องไห้เลย เสียใจมาก เพราะในบ้านเราห้ามโกหก แล้วอย่างลูกถ้านั่งนับหนึ่งถึงร้อยได้ โอเค.ลูกเก่ง แต่พอเราถามนี่เลขอะไร ตอบไม่ได้ ท่องได้ แต่อ่านไม่ได้ไปเรียนทำไม และมีครั้งหนึ่งให้ลูกไปทิ้งขยะ เชื่อไหม ลูกยืนหน้าถังขยะแต่ไม่ยอมทิ้ง ถือขยะอยู่ในมือเราถามน้องคนดีทำอะไร เขาบอกรอให้แม่มาเปิดฝาถังขยะให้ เชาวน์ปัญญาไม่มีแล้วทั้งที่อยู่บ้านเขาเคยทำได้ มีช่วงหนึ่งลูกเราบ้าแต่งหน้ามากเพราะต้องแต่งหน้าขึ้นโชว์บนเวที ครูก็ชมคนแต่งหน้าแล้วสวยมาก โดยไม่ได้บอกว่าจะแต่งหน้าได้เฉพาะตอนแสดงโชว์เท่านั้น ปรากฏว่าตั้งแต่วันนั้นคนดีบ้าแต่งหน้ามาก อยากแต่งหน้าตลอดเวลา ตื่นเช้ามาบอกแม่แต่งหน้าพอจะนอนก็แม่แต่งหน้า"
คุณแม่กลุ้มใจเมื่อพฤติกรรมของลูกสาวเปลี่ยนไปหลังจากเข้าโรงเรียน
"ไม่มีความสุขเลย น้องคนดีจากเด็กน่ารักกลายเป็นเด็กก้าวร้าวเกเรเจ้าเล่ห์และขี้เกียจ ไม่พยายามเรียนรู้ ไม่มีการสังเกต ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้หรือพัฒนาศักยภาพตัวเอง เอาง่าย ๆ ลูกแวร์เรียน ป.1 ก.กา ยังอ่านไม่ได้ เลขหลักหน่วยหลักสิบหลักร้อยอ่านไม่ได้ พอมันเป็นแบบนี้มากขึ้นสุดท้ายแวร์ตัดสินใจว่าไม่ได้แล้ว เราเลี้ยงลูกเราต้องพัฒนาเขาทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์เรื่องของคุณภาพจิตใจหรือศักยภาพความฉลาด ความรู้ หรือความสามารถต่าง ๆ แต่ถ้าเขายังอยู่ในสังคมมีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เขากลายเป็นคนที่ด้อยศักยภาพ คิดเองก็ไม่เป็น กระตือรือร้นก็ไม่มี ความสามารถก็ไม่มีอะไร มักง่าย ฉาบฉวย เจ้าเล่ห์ไปวัน ๆ เป็นคนลักษณะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เอาตัวเองเป็นหลักเราก็เลยมานั่งคิดถ้าเราอยากให้ลูกมีวิชาการความรู้ มีวุฒิการศึกษาเหมือนคนทั่วไปที่สังคมกำหนดเอาไว้ สิ่งที่แวร์ได้คือลูกมีวุฒิการศึกษาและจบมหาวิทยาลัย แต่ถามว่าจบออกมาแล้วเป็นคนเต็มคนไหม ก็ไม่ สามารถมีการงานที่ดีทำไหม ก็ไม่ สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นคนดี และมีความสุขไหม ก็ไม่ เพราะฉะนั้นเรามาคิดดูเราต้องการอะไร เราต้องการให้ลูกเราเป็นคนดี และมีคุณธรรม ดูแลตัวเองและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พอเราถามและตอบโจทย์ได้ ก็เลยเอาลูกออกจากโรงเรียนมาทำโฮมสคูลเอง หลังลูกเรียนจบ ป.1 เทอม 1"
แวร์เข้มงวดกับลูกมากเกินไปหรือเปล่า
"สิ่งที่แวร์สอนมันคือมารยาทสังคม บางคนบอกเขายังเด็กอยู่ สมมติตอนนี้ลูกตบหัวแวร์ ถ้าแวร์บอกไม่เป็นไร ๆ ตบไป พอวันหนึ่งเขาโตขึ้นเราบอกคนดีตบหัวแม่ไม่ได้เขาไม่ฟัง เพราะตอนเล็กเคยตบได้ และทีนี้ไม่ได้ตบแค่แม่จะไปตบคนอื่นได้ เรามีมุมมองและคิดเสมอว่าข้อมูลแรกในชีวิตของเด็กที่เด็กควรจะรู้ที่สุดคือข้อมูลที่ถูกต้อง เช่นลูกเรากินข้าวจะบอกลูกเลยว่าการเคี้ยวข้าวที่ถูกต้องอย่าเคี้ยวข้าวเสียงดัง อย่าอ้าปากเวลาเคี้ยวข้าว อย่าคุยกันเวลาทานอาหารนี่คือข้อมูลที่ถูกต้อง และเราโตมากับการที่เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ต้องเดินอ้อมหลังและขอโทษ จะมาเดินปึงปัง ๆ ไม่ได้นะ หรือบางทีผู้ใหญ่เดินสวนมาแล้วทางมันแคบไปไม่ได้เราต้องให้ผู้ใหญ่ไปก่อน นี่คือมารยาทพื้นฐานทางสังคมที่คนควรรู้ แต่คนไม่รักษาเอาไว้ คนละเลยกันหมด"
เป็นคุณแม่ที่ใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอนของลูก
"มันปล่อยวางไม่ได้และเรายอมเหนื่อยตอนนี้เพื่ออะไร เพราะเขาจะอยู่กับเราแรกเกิดจน ป.4 หลังจากนี้เขาไม่อยู่กับเราแล้วนะ เรายอมเหนื่อยตอนนี้พอ 11-12 ขวบ เขาไม่ฟังเราแล้ว ในเมื่อเราอยู่กับเขาเราควรให้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องกับเขา หลังจากนั้นเขารู้แล้วเขาจะทำหรือไม่ทำเรื่องของเขา จะไปเป็นอะไรเรื่องของเขาถือว่าเราสอนแล้ว ดีกว่าวันหนึ่งแก่ไปแล้วเรามานั่งพูดกับตัวเองทำไมวันนั้นเราไม่สอนเขาแบบนี้มานั่งเสียใจ เราพูดเลยวันหนึ่งถ้าเขาโตขึ้นเราไม่ได้บอกลูกเราเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเขาจะเลวเราก็ไม่เสียใจเพราะเราทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว สุดท้ายเลยเอาลูกออกจากโรงเรียนดีกว่า พอเขาเรียนจบ ป.1 เทอม 2 เชื่อไหม ลูกแวร์อยู่โรงเรียนตั้งแต่ 2 ขวบครึ่งจน 6 ขวบ 5 ปีที่ลูกไปโรงเรียนแวร์จะทะเลาะกับลูกทุกวัน ชีวิตไม่มีความสุข แวร์ไม่ได้เลี้ยงเขาแบบไข่ในหิน แต่เราไม่รู้ว่าลูกเราไปเจอใคร และใครพูดอะไรกับเขาบ้าง และการที่เราโพรเทคต์ลูกเราแต่กลายเป็นมาหาว่าเราเป็นดาราเรื่องมากหวงลูก แต่ตอนหลังแวร์ไม่แคร์เพราะเราเป็นแม่ เรามีสิทธิ์ที่จะดูแลสอดส่องพฤติกรรมของทุกคนที่เข้ามาหาลูกเรา"
สุดท้ายแวร์ให้ลูกออกจากโรงเรียนแล้วมาทำโฮมสคูลเองที่บ้าน
"แวร์มาสอนหนังสือลูกเองที่บ้าน ทำบ้านเรียนซึ่งเขามีมา 20-30 ปีแล้ว และมีหลายครอบครัวที่ทำแบบนี้คือสอนกันเอง สมัยก่อนสังคมไทยที่บ้านอาจจะไม่ได้มีอะไรเปิดปัญญาเด็ก เขาถึงบอกให้เด็กไปโรงเรียน เพราะครูมีความรู้มีจรรยาบรรณ แล้วให้เด็กไปเข้าสังคมไปพัฒนา ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แต่กับสมัยนี้ไม่ได้ เพราะตอนนี้ไปโรงเรียนครูทำอะไร นั่งแต่งหน้าพูดจาก็มึงกูอันนี้เราเคยได้ยินมาแล้วจะไปเพื่ออะไร เราอยากจะว่าการสอนหนังสือลูกเอง การทำโฮมสคูลมันเหนื่อยนะ ถ้าสิ่งที่ลูกเรียนมันดีอยู่แล้วไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเอาออกมาหรอก เราเชื่อและศรัทธาในสถาบันการศึกษา แต่เราไม่เชื่อมั่นครูที่สอน คือหลักการของโรงเรียนกับผู้อำนวยการดีมากแต่เขาไม่ได้มาสอนเอง ถ้าลูกเรายังอยู่ในระบบสังคมแบบนี้ต่อไป แวร์สามารถตัดหางปล่อยวัดลูกได้ ฉันกับเธอตัดขาดกันเลยนะ โอเค.ลูกเรามีวุฒิการศึกษา ลูกเราได้เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้รับการยอมรับในสังคม แต่ความเป็นมนุษย์ไม่มี เราก็ต้องเลือกสิ เราเป็นคนหนึ่งที่เลือกจะมีชีวิตตามรูปแบบของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ถ้าเราอยากจะอยู่ในกระแสสังคม อย่างบางคนมาถามลูกแวร์เรียนโรงเรียนอะไร พอแวร์ตอบชื่อโรงเรียนไป เขาไม่รู้ เขาไม่คุยกับแวร์ต่อนะ แต่ถ้าตอบเรียนสาธิตเกษตรค่ะเขาจะคุยต่อ
แวร์อยากจะบอกทุกสังคมทุกโรงเรียนครูดีก็มีอยู่ที่เราเจอหรือไม่เจอ เพื่อนดี ๆ ก็มีอยู่ที่เราเจอหรือไม่เจอ การทำโฮมสคูลเราต้องจัดการเองทั้งหมด ตอนนี้มีสมาคมบ้านเรียนไทยในเฟซบุ๊ก เราได้คำแนะนำมาก็ลองไปคุยดู เราเลยไปถาม เขาแนะนำว่าเราเป็นยังไง เราต้องการอะไร เขียนออกมาเป็นแผนการเรียนของลูก เรารู้ธรรมชาติของลูกชอบอะไร ถนัดอะไร เราจะสอนอะไรเขา เราก็ร่างเป็นแผนการเรียนการสอนแล้วให้ผู้ใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญช่วยดูให้ เขาก็จะช่วยหาคำที่เป็นวิชาการมาปรับปรุงให้เรา"
การทำโฮมสคูลต้องมีหลักการยังไงและวิชาที่สอนมีอะไรบ้าง
"ก็มีแบบสอนไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องสนใจวุฒิการศึกษา เพราะการเรียนรู้ทั้งชีวิตไม่มีวันจบหรอก และมีโรงเรียนที่รับกลุ่มบ้านเรียนโดยเอาเด็กไปเข้าชื่อไว้และมีประเมินไปเรื่อย ๆ โดยเราเก็บผลงานเก็บแบบฝึกหัดของเขาไว้ และไปยื่นที่เขตเขาจะมีเขตดุสิตที่รับกลุ่มครอบครัวบ้านเรียนอะไรแบบนี้ หรือจ้างครูพิเศษเฉพาะทางมาสอนแต่ละวิชา พอโตขึ้นอายุถึงก็ไปสอบ กศน. ก็จะมีทางเลือกหลากหลาย เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก และอย่างที่แวร์ดูแล้ว น้องคนดีตอนไปโรงเรียนเขามีปัญหาการนั่งเรียนเขียนอ่าน เขาเป็นเด็กอยู่นิ่งมากไม่ได้ เขาไม่ได้ไฮเปอร์แต่เป็นเด็กชอบเคลื่อนไหว ถ้านั่งเรียนเขียนอ่านเขาจะเบื่อ หรือวิชาไหนที่เขาชอบจะเรียนรู้เรื่อง เขาชอบประวัติศาสตร์ ตอน ป.1 เขาเรียนพระพุทธเจ้า เรียนพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ เขาจะชอบ เขาตอบได้หมด แต่วิชาอื่นไม่ชอบไม่รู้ นอกจากนั้น เมื่อเด็กไม่ได้เรียนโรงเรียนปกติเราก็ต้องหากิจกรรมเสริมให้เขา บางครอบครัวเป็นชาวไร่ชาวนาก็สอนเด็กในเรื่องธรรมชาติการปลูกพืชปลูกผัก ใช้ปุ๋ยอะไรปรับสภาพดินยังไง การทำบ้านเรียนคือการจัดการแผนการเรียนการสอนตามอัธยาศัยของแต่ละครอบครัว
ส่วนเบสิควิชาหลัก ๆ ที่ต้องเรียนก็มีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เลข สังคม วิทยาศาสตร์ แต่เราไม่ต้องเซ็ตเหมือนโรงเรียนทั่วไป มา 8 โมงเช้าเคารพธงชาติวิชาแรกสอนอะไร เราใช้ง่าย ๆ วันนี้แม่กินก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม ชามละ 30 บาท รวมได้เท่าไหร่ แต่เขาต้องรู้การบวกลบเลขให้เป็นด้วยนะ เราสอนเขาตอน ป.1 เทอมหนึ่งตอนนี้เรียน ป.2 เทอมหนึ่ง ไม่ถึงปีลูกรู้จักหลักสิบหลักร้อยและบวกเลขได้อย่างมั่นใจ ทุกวันนี้สามารถบวกเลขในใจได้ การทำโฮมสคูลเราสามารถใช้ชีวิตประจำวันในการเรียนการสอนได้ เราก็ตั้งตารางทุกวันลูกตื่นขึ้นมาต้องทำแบบฝึกหัดวิชาละครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วไปวิ่งเล่น คือ 5 วิชาหลักให้อ่านหรือเขียนก็ได้วันละครึ่งชั่วโมง แต่ถึงเวลาจริง ๆ เขาไม่ทำเขาไม่ชอบมานั่งเรียนเขียนอ่าน ตอนหลังเราเลยใช้วิธีอ่านให้ฟังเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มฟังมากขึ้น แต่บางอย่างต้องบังคับ เช่น เลข และภาษาไทย เราเริ่มสอนให้ลูกท่อง ก.-ฮ. ให้ชัดเจน สระก็ให้ชัดเจน จำวรรณยุกต์ให้ได้ เมื่อคุณรู้พื้นฐานเบสิคหลักก็จะผสมคำได้ ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน"
แวร์จะสอนลูกถึงเมื่อไหร่
"ตอนนี้มีความคิดว่าถ้าจะสอนพื้นฐานเด็กตอนนี้ ป.1 ถึง ป.3 เขายังไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอก เอาแค่อ่านออกเขียนได้พื้นฐานหลัก ๆ แล้วมาดูอีกทีตอน ป.4 วิชาหลัก ๆ เริ่มเยอะก็ดูก่อน ถ้าสอนแล้วมีแนวโน้มที่ดีก็จะสอนไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าดูแล้วเราได้แค่นี้ไม่สามารถต่อยอดพัฒนาความรู้ต่าง ๆ ได้ ค่อยไปเข้าโรงเรียนปกติ ซึ่งเขาก็ปรับสภาพได้ ทุกวันนี้เขาอยากไปโรงเรียนแต่อยากไปเล่นไม่ได้อยากไปเรียน"
น้องคนดีเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมเยอะมาก
"เขาเป็นเด็กไม่ชอบนั่งเรียนเขียนอ่านแต่เขาสนุกกับการชอบเคลื่อนไหว เขาชอบทำกิจกรรม ตอนนี้ก็มีไปเรียนไอซ์สเก็ต เปียโน ร้องเพลง เทควันโด บัลเลต์ เรียนเต้น ตอนนี้คุยเอาไว้จะให้เรียนรำ ซึ่งสิ่งที่เขาเรียนทั้งหมดเขาขอเอง ถ้าเขาขอเราก็พาไปลองถ้าเขาสนุกก็เรียน แต่เราจะบอกเขาก่อนอย่างแรกทำอะไรต้องตั้งใจทำก่อน พยายามก่อน ถ้าไม่ได้จริง ๆ เราค่อยว่ากัน ซึ่งเขาทำแล้วมีความสุขก็ให้เขาทำไป แล้วก็ดีขึ้นเยอะเลย ถ้าให้เรียนเรามีแต่ความเครียด เคยคิดเอาลูกไปอยู่โรงเรียนประจำเลยนะเหมือนเป็นการตัดหางปล่อยวัดเลยนะ แต่ก่อนจะทำเราพยายามทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ก่อนให้ดี แวร์จะพูดเสมอหน้าที่ของแม่คืออะไร คือเลี้ยงดูให้หนูเติบโตขึ้นมา หาอาหาร ของใช้ เสื้อผ้า สอนสิ่งที่ดี ฝึกฝนสิ่งดี ๆ ให้กับหนู คอยดูแลหนูให้ดีที่สุด หน้าที่ของลูกคืออะไร เชื่อฟังพ่อแม่ ทำตามสิ่งดี ๆ ที่พ่อแม่สอน ขยันเรียนหนังสือ เราต้องแบ่งหน้าที่กันและเข้าใจในหน้าที่ของตัวเองให้ได้"
เข้มงวดและใส่ใจลูกมากขนาดนี้ สิ่งที่แวร์คาดหวังหรืออยากเห็นเขาเป็นอะไรในอนาคต
"แวร์ไม่ได้คาดหวังเขาอยากเป็นอะไรก็ได้เป็นไปเลย แต่สิ่งที่แวร์อยากเห็นหรืออยากให้เขาเป็นคืออย่านำความเดือดร้อนมาใส่ตัวเองและครอบครัว อย่าเป็นคนเลว เป็นคนดีในสังคม เอาตัวเองให้รอด แต่ในมุมมองที่ดีนะไม่ได้ขี้โกงเจ้าเล่ห์ เป็นคนที่มองและมีชีวิตอยู่ในความเป็นจริง ไม่ได้อยู่กับความเพ้อฝันหรือตะเกียกตะกาย ฟูมฟาย เหมือนที่สังคมทุกวันนี้หล่อหลอมให้คนที่มีเงินเท่านั้นคือพระเจ้า มีเงินทำอะไรก็ถูก ซึ่งมันไม่ใช่ เราแค่อยากให้เขาเป็นคนพอมีพอกิน พอใช้พอเก็บ พอแบ่งปัน มีความสุขได้โดยไม่เบียดเบียนใคร ทำตัวให้ดี โดยไม่ไปสร้างปัญหาหรือเอาเปรียบใคร พื้นฐานของมนุษย์ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
หลังจากที่เรายิงคำถามสุดท้ายกับ แวร์ โซว น้องคนดีที่ไปเรียนซ้อมเต้นเสร็จก็เดินมาหาคุณแม่ เราเลยขอสัมภาษณ์น้องคนดีต่ออีกเล็กน้อย
ระหว่างไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนกับเรียนที่บ้านโดยมีคุณแม่สอน น้องคนดีชอบอย่างไหนมากกว่ากัน
"เรียนที่บ้านมันก็ชอบนะคะ แต่บางครั้งก็กลัว ๆ อยู่บ้าง เหมือนกับกลัว ๆ กังวลอยู่ว่าจะทำอะไรกันดี หนูกลัวจะทำผิดนี่แหละค่ะปัญหาของหนู (หัวเราะ) หมายถึงทำการบ้านผิดและกลัวทำไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด กลัวแม่ดุ กลัวจะทำช้าเกินไปจนไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น ไม่มีเวลาไปเล่นค่ะ (พูดไปก็แอบอมยิ้มไป)"
คุณแม่ดุมากเลยเหรอ
"คุณแม่ไม่ค่อยดุ แต่ที่ดุเพราะรักหนูค่ะ คุณแม่เข้มงวดกับหนูอยู่เหมือนกัน กังวลเรื่องจะทำช้าเกินไปไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น ไม่มีเวลาไปเล่นค่ะ (แอบอมยิ้ม)"
ระหว่างเรียนที่โรงเรียนกับที่แม่สอนอันไหนทำให้หนูได้ความรู้มากกว่ากัน
"แม่สอนค่ะ เพราะแม่จะบังคับให้หนูทำงานให้เสร็จก่อนค่อยไปเล่นก็ได้ ซึ่งก็ถูกแล้ว แต่อยู่โรงเรียนก็แบบทำการบ้านไม่เสร็จ แล้วค่อยมาทำต่อวิชาหน้าก็ได้ ไปพักก่อน หนูไปก็ได้เล่นอย่างเดียวไม่มีเวลาที่จะได้ทำการบ้านให้เสร็จ แต่เวลาเล่นจะเยอะกว่า"
แต่เห็นคุณแม่บอกว่าน้องคนดีบ่นอยากไปโรงเรียนเพราะอะไร
"เพราะหนูอยากไปเล่นค่ะ (ตอบทันทีเสียงดังฟังชัด) แต่ตอนแรก ๆ หนูมีความคิดอยากไปเรียน แต่คิดไปคิดมาเราไปเรียนที่นั่นไม่ได้อะไรเลย เราแค่อยากไปเล่น"
น้องคนดีเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมเยอะมากถ้าถามว่าอันไหนที่ทำแล้วชอบมากที่สุด
"ทุกอย่างที่หนูขอแม่เรียนเป็นสิ่งที่หนูชอบและอยากทำ เพราะหนูเป็นเด็กที่อยู่กับวิชานิ่ง ๆ ไม่ได้ ไม่ชอบนั่งเรียนเขียนอ่านมาก ๆ เพราะหนูจะเป็นคนชอบเคลื่อนไหวขยับตลอดเวลา แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ เทควันโด เพราะเราใช้ไปได้ตลอดชีวิต เป็นวิชาป้องกันตัว ซึ่งถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ต่อสู้ได้ทัน ซึ่งแตกต่างจากคนที่ไม่ได้เรียนอะไรเลย เวลาเกิดเรื่องหรือเจอคนร้ายจะได้ป้องกันตัวได้ ตอนนี้หนูเรียนจะสอบสายเหลือง แต่ต้องเรียนให้ครบสายดำ แต่หนูไม่รู้ว่าถ้าได้สายดำตอนนั้นจะอายุเท่าไหร่แล้ว"
ในความรู้สึกของคนดีคุณแม่เป็นคุณแม่แบบไหนคะ
"เป็นคุณแม่ที่ดี พยายามสอนลูกให้เป็นมนุษย์ พยายามทำให้คนที่ไม่ใช่คนกลายเป็นคนให้ได้ ความรู้สึกหนูเป็นอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้มนุษย์บนโลกใบนี้ของเรา ส่วนใหญ่เป็นคนพูดจาไม่ค่อยเพราะและไม่ค่อยมีมารยาท แต่คนจริง ๆ ต้องเป็นคนมีมารยาทและพูดเพราะ แม่พยายามสอนหนูตลอด หนูจะเป็นเด็กดีสำหรับแม่ค่ะ"
เรื่องงานแสดงน้องคนดีชอบไหม
"หนูก็มีไปเล่นละครรับเชิญบ้างเรื่อง "เฮง เฮง เฮง" เป็นตอนสั้น ๆ ตอนแรกก็ไปถ่ายดี แต่ตอนหลังเริ่มดื้อและไม่ค่อยมีสมาธิ แต่รายการหลักที่หนูเป็นพิธีกรคือ รายการ "วิตามินข่าว" ช่องไทยพีบีเอส ออกอากาศก่อนเคารพธงชาติทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หนูเป็นพิธีกรช่วย หนูชอบพิธีกรมากกว่างานแสดง เป็นนักแสดงยากกว่าเป็นพิธีกร เพราะนักแสดงต้องออกอารมณ์ทุกอย่างไปเลย แต่พิธีกรเหมือนเราสัมภาษณ์และให้ความรู้เลยชอบพิธีกรมากกว่า"
โตขึ้นน้องคนดีอยากเป็นอะไร
"อยากเป็นนักร้องกับนักบัลเลต์ เพราะหนูชอบร้องเพลงและชอบเต้นบัลเลต์ แต่หมอหนูก็อยากเป็น มันดูสนุกดี แต่ต้องเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ต้องเรียนเก่ง หนูเลยตัดหมอออกไป"
สิ่งที่หนูอยากบอกแม่แต่ยังไม่ได้บอก
"หนูขอบคุณคุณแม่ที่คอยดูแลห่วงใยหนูมาตลอด หนูก็ขอให้คุณแม่มีความสุขและแข็งแรงนะคะ"
สมกับชื่อ คนดี ของคุณแม่แวร์ โซว จริง ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 38 วันที่ 22 สิงหาคม-4กันยายน 2555 Vol.1835