สรีระร่างกายแม่ กับการเจ็บครรภ์คลอด

ตั้งครรภ์

สรีระร่างกายแม่ กับการเจ็บครรภ์คลอด
(รักลูก)
โดย: น.พ.เอกชัย โควาวิสารัช

          ทราบไหมว่า ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประสบมาในโลกนี้คือ ความเจ็บปวดตอนไหน ลองเดาดูสิครับ แต่ขอบอกใบ้สักนิดว่า คุณผู้หญิงที่เป็นคุณแม่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บปวดชนิดนี้มาแล้วทุกคน ใช่แล้วครับ การเจ็บครรภ์คลอดเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดนั่นเอง

          ในปัจจุบันนี้ เรายังไม่ทราบว่า สาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บครรภ์คลอดคืออะไร แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดในระหว่างการคลอด

           1. ความรุนแรงในการหดรัดตัวของมดลูก ความเจ็บปวดเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมดลูกมีการหดรัดตัว ทำให้เกิดการกระตุ้นเส้นประสาทที่รับรู้ความเจ็บปวด นอกจากนั้นความเจ็บปวด ยังเกิดจากการยืดขยายตัวของกล้ามเนื้อมดลูกส่วนล่าง และปากมดลูกเพื่อให้ส่วนนำของทารกผ่านลงไปสู่ช่องเชิงกราน และคลอดออกมาทางปากช่องคลอดในที่สุด

           2. ขนาด รูปร่าง และตำแหน่งของทารก โดยเปรียบเทียบสัมพันธ์กับกระดูกเชิงกรานของคุณแม่ เช่น กรณีที่ศีรษะทารกกับเชิงกรานคุณแม่ไม่ได้สัดส่วนกัน จะทำให้มดลูกมีการยืดขยายผิดปกติ ก็ทำให้มีอาการเจ็บปวดได้มาก หรือกรณีที่ทารกอยู่ในท่าขวาง (transverse lie) ซึ่งมีไหล่เป็นส่วนนำ ทำให้คลอดทางช่องคลอดเองไม่ได้ ต้องผ่าตัดออก เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลางของไหล่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของช่องทางคลอดมาก

           3. ความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงของโลก การหดรัดตัวของมดลูก และท่าของคุณแม่ในขณะคลอด มีอิทธิพลต่อความรุนแรงของความเจ็บปวด ท่าที่เหมาะสม เช่น ท่าลำตัวตั้งขึ้น (upright) ท่านั่งยอง ๆ (squatting) จะ ได้แรงโน้มถ่วงโลกช่วยดึงให้ศีรษะเด็กเคลื่อนลงดี ทำให้คลอดได้เร็วขึ้น และลดความเจ็บปวดที่เกิดจากศีรษะทารกกดบริเวณด้านหลังของอุ้งเชิงกราน ซึ่งจะทำให้ปวดมากในท่านอนราบ (supine) หรือท่าขบนิ่ว (lithotomy) ซึ่งเป็นท่านอนถ่างขาบนขาหยั่ง

           4. ในระยะที่ 2 ของการคลอด ความเจ็บปวดเกิดจากการยืดขยาย (stretching) ของเนื้อเยื่อภายในช่องคลอด ปากช่องคลอด และการขยายออกของเส้นเอ็น ซึ่งเชื่อมข้อต่าง ๆ ของกระดูกบริเวณอุ้งเชิงกราน (pelvic joints)  อีกทั้งการยืดขยายของอวัยวะต่าง ๆ ข้างเดียว เช่น กระเพาะปัสสาวะ ก็ทำให้คุณแม่มีอาการปวดได้ด้วยเช่นเดียวกัน

           5. การต่อต้าน (resistance) หรือการหยุดยั้ง (inhibition) อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล ความตึงเครียด สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดความตึงเครียด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่หนุนนำให้มีการรับรู้ ความเจ็บปวดในระหว่าง คลอดเพิ่มขึ้นได้ ถึงตอนนี้ คุณแม่คงจะพอทราบคร่าว ๆ แล้วนะครับว่า อะไรบ้างที่เพิ่มหรือลดความเจ็บปวด ให้กับคุณแม่ในระหว่างเจ็บครรภ์คลอดได้ ในเรื่องวิธีการบรรเทาปวดจากการเจ็บครรภ์คลอด ผมจะได้นำมาเล่าให้คุณแม่ฟังในตอนต่อ ๆ ไปนะครับ

          คุณแม่ครับ! คราวนี้ก็มาถึงเรื่องพื้นฐานเบื้องต้น เกี่ยวกับการเจ็บครรภ์คลอดที่คุณแม่ควรจะทราบไว้ เนื่องจากเรื่องนี้มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับหลักการดูแลการคลอด คุณแม่จะได้ทราบว่าที่คุณแม่จะประสบพบเห็นอะไรบ้างเมื่อคุณแม่กำลังจะคลอด

          คุณแม่ที่เจ็บครรภ์จริง มีอาการปวดร่วมกันกับมีการหดรัดตัวของมดลูก อาการปวดนี้คล้ายคลึงกับอาการปวดประจำเดือน แต่จะปวดที่บริเวณมดลูกทั้งใบ อาการปวดทวีระดับความรุนแรง (severity) เพิ่มขึ้น ช่วงเวลาระหว่างการปวดแต่ละครั้ง (interval) สั้นลงเรื่อย ๆ เช่น จากเจ็บทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เป็นทุก ๆ ชั่วโมง เป็นทุก 30 นาที เป็นต้น

           ระยะเวลาในขณะที่มดลูกหดรัดตัวที่ทำให้ปวดแต่ละครั้ง (duration) จะนานขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จาก 10 วินาที เป็น 20 วินาที เป็น 40 วินาที เมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์จริงแล้ว การคลอดจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งทารกคลอดในที่สุด โดยไม่มีอะไรหยุดยั้งการคลอดได้ แต่ถ้าอาการเจ็บปวดไม่สม่ำเสมอ และห่างออกไปเรื่อย ๆ ร่วมกับการที่มดลูกหดรัดตัวเบา ๆ ไม่รุนแรง และหยุดโดยไม่มีการคลอดเกิดขึ้น เราเรียกว่าการเจ็บครรภ์หลอก (false labor) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเกิดจากการซ้อมหดรัดตัวของมดลูก (Braxton Hicks contractions) โดยปกติแล้ว อาการเจ็บปวดจะน้อยไม่รุนแรง

          ผมขอแนะนำคุณแม่ว่า ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์สม่ำเสมอประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อชั่วโมง ก็ควรไปโรงพยาบาล เนื่องจากมีโอกาสที่จะเจ็บครรภ์จริง มากกว่าเจ็บครรภ์หลอกครับ

          คุณแม่ครับ! ในการคลอดวิถีธรรมชาติ นิยมแบ่งการเจ็บครรภ์คลอดออกเป็น 3 ระยะ คือ

          ระยะที่ 1 ของการคลอด (first stage of labor) คือระยะที่คุณแม่เริ่มเจ็บครรภ์จริง โดยที่ปากมดลูกยังปิดอยู่จนถึงปากมดลูกเปิดหมด 10 ซม. เรายังสามารถแบ่งระยะนี้ออกเป็นระยะย่อย ๆ ได้ 3 ระยะ คือ

          ระยะย่อยที่ 1 : ระยะเจ็บครรภ์เนิ่น ๆ (early labor) ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จริง ปากมดลูกปิดอยู่จนถึงเปิด 4 ซม. ปากมดลูกมักจะยังหนาอยู่ แต่ก็จะเริ่มบางตัวไปอย่างช้า ๆ ในระยะนี้มดลูกจะมีช่วงเวลาระหว่างการหดรัดตัวแต่ละครั้ง เท่ากับ 5-30 นาที และมีระยะเวลาที่มดลูกหดตัวแต่ละครั้งเท่ากับประมาณ 15-40 วินาที โดยทั่วไปคุณแม่จะทำกิจกรรมได้ตามปกติ พูดคุยรับรู้และสนใจในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี แต่อาจจะหยุดทำกิจกรรมนั้น ๆ เมื่อมีอาการเจ็บครรภ์ จากการที่มดลูกหดรัดตัวเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราวได้ โดยจะมีอาการปวดบีบ ๆ (cramps) ทั่วไปที่บริเวณมดลูกทั้งใบ แต่ไม่รุนแรง บางครั้งอาจรู้สึกจุกหรือเสียด บริเวณท้องหรือมดลูกได้ คุณแม่บางคนอาจมีอาการปวดหลังได้

          จุดเริ่มต้นของการเจ็บครรภ์จริงเป็นสิ่งที่ค้นหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเราไม่สามารถจับดูว่ามดลูกมีการหดรัดตัวตั้งแต่เริ่มแรกได้ เนื่องจากคุณหมอไม่สามารถตรวจคุณแม่ได้ตลอดเวลา และเรายังไม่ทราบว่า การเจ็บครรภ์จริงนั้นเริ่มต้นได้อย่างไรและอะไรคือสาเหตุของการเจ็บครรภ์

          ในปัจจุบันนี้จึงต้องใช้วิธีถามจากคุณแม่เป็นหลักว่าเริ่มเจ็บครรภ์ตั้งแต่ เมื่อไร แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามดูต่อไปว่า การเจ็บครรภ์นั้นดำเนินต่อไปจนกระทั่งคลอดหรือเป็นการเจ็บครรภ์หลอกซึ่งใน ระยะแรก ๆ อาจจะวินิจฉัยแยกจากกันยากในบางครั้ง

          ระยะย่อยที่ 2 : ระยะเจ็บครรภ์ที่เร่งร้อนขึ้น (accelerated labor) มดลูกมีการหดรัดตัวบ่อยขึ้นในระยะนี้ ประมาณทุก ๆ 2-3 นาที หดตัวแต่ละครั้งนาน 45-60 วินาที และความแรงของการหดรัดตัวมากกว่าในระยะที่แล้ว ดังนั้นคุณแม่จึงรู้สึกเจ็บครรภ์มากขึ้นตามลำดับ

          ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 4-8 ซม. และปากมดลูกจะบางตัวเต็มที่แล้ว (100%) โดย ร่างกายจะเริ่มสร้างและหลั่งเอนดอร์ฟินออกมาเพื่อช่วยให้คุณแม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดครรภ์ที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งคลอดลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลกในที่สุด

          ในระยะย่อยที่ 2 นี้ พฤติกรรมของคุณแม่จะเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มเงียบลง ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ แต่จะหันกลับมาสนใจในตัวตนของตัวเอง (focus inwardly) โดยเฉพาะการหดรัดตัวของมดลูก จะนั่งอยู่กับที่ หลับตาลงคล้าย ๆ กับคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ อาการแสดงต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสัญญาณที่บอกเราได้เป็นอย่างดีว่าระดับเอนดอร์ฟินในร่างกายคุณแม่นั้นเริ่มสูงขึ้น และมีระดับเพียงพอสำหรับความต้องการที่จะใช้ในการดำเนินการคลอด

          นอกจากนี้ก็ยังสามารถบอกได้ทางอ้อมว่า การทำงานของมดลูกก็น่าจะดีเช่นเดียวกัน จึงทำให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟิน เพื่อให้คุณแม่สามารถต่อสู้กับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นในระยะนี้ เราจึงไม่ควรรบกวนความต้องการของคุณแม่โดยพยายามให้คุณแม่อยู่ตามลำพังกับตัวเอง

          ระยะย่อยที่ 3 : ระยะเปลี่ยนผ่าน (transition) ในระยะนี้มดลูกจะหดรัดตัวทุกๆ 1.5 - 3 นาที โดยหดตัวนานครั้งละ 45-90 วินาที โดยมีความรุนแรงมากที่สุด เมื่อเทียบกับ 2 ระยะย่อยที่ผ่านมา ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์อย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลาสั้น ๆ และบางครั้งอาจควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ร่างกายจะสร้างเอนดอร์ฟินสูงสุดในระยะนี้ เพื่อให้คุณแม่สามารถทนทานต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุด

          ผลของฮอร์โมนนี้ทำให้คุณแม่ยังคงมุ่งสนใจในตัวเอง บางครั้งอาจจะหลงลืม เช่น จำสถานที่หรือบุคคลไม่ค่อยได้ (disorientation) คุณแม่จะหายใจถี่และเร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการปวด คุณแม่บางคนอาจร้องครวญคราง เอะอะโวยวาย ขอให้คุณหมอช่วยทำอะไรก็ได้เพื่อให้หายปวด เช่น ขอยาแก้ปวด ขอให้ผ่าตัดคลอด เป็นต้น

          สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ดูแลการคลอดต้องเข้าใจให้ดีว่าอาการต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเอนดอร์ฟิน มิใช่ว่าคุณแม่มีความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ดังนั้นจึงควรพยายามช่วยประคับประคองคุณแม่ โดยไม่แทรกแซงที่ไม่จำเป็น และหลังคลอดแล้ว คุณแม่ก็จะหลงลืมอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปลิดทิ้ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นหน้าลูก คุณแม่บางคนอาจมีอาการบางอย่างร่วมด้วย เช่น หนาวสั่น เป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก หรือมีความรู้สึกปวดหน่วง ๆ เมื่อศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลง และเคลื่อนไปจนถึงช่องทางคลอด

          ในช่วงปลายระยะนี้มดลูกกำลังเปลี่ยนหน้าที่ จากการขยายปากมดลูกเป็นการผลักดันทารกให้ออกมาทางช่องคลอด ซึ่งสามารถจะทราบได้โดยคุณแม่เริ่มมีความต้องการอยากเบ่งถ่ายเหมือนถ่าย อุจจาระ

          ระยะที่ 2 ของการคลอด ระยะเบ่งคลอด (second stage of labor) ระยะนี้เริ่มนับตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมด จนถึงทารกคลอดออกมาทั้งตัวแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อย

          ระยะย่อยที่ 1 : ระยะเฉื่อย (latent phase) นับว่าเป็นความชาญฉลาดของร่างกายคุณแม่ที่สร้างระยะเฉื่อยขึ้นมา หลังจากที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว ที่ผมกล่าวเช่นนี้เนื่องจากว่า ช่วงระยะเวลาของการเจ็บครรภ์คลอดในระยะที่ 1 นั้นกินเวลาค่อนข้างยาวนาน ในการคลอดลูกคนแรกจะใช้เวลาประมาณ 12-14 ชั่วโมง แต่ในการคลอดลูกคนต่อไป ช่วงเวลานี้ก็จะสั้นลงเหลือประมาณ 6-8 ชั่วโมง

          คุณแม่ลองคิดดูสิครับว่า สมมติว่าถ้าเราไปออกกำลังกายเล่นกีฬาอะไรสักอย่าง ผมว่าเอาแค่ 1 ชั่วโมงก็พอแล้ว ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงมากขนาดไหน แล้วจะเทียบอะไรกับการเจ็บครรภ์คลอดที่เป็นสุดยอดของความเจ็บปวดของมนุษย์  ที่คุณแม่เผชิญอยู่เป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมง ร่างกายคุณแม่จะอ่อนเพลียขนาดไหน

          นี่แหละครับ ผมถึงได้กล่าวว่า เป็นความกรุณาของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์โลกเพศหญิงโดยเฉพาะที่กำหนดให้มีการ พักผ่อนสักหน่อย ก่อนที่จะเบ่งคลอด ซึ่งก็ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลอีกเช่นกัน ในการที่จะเบ่งคลอดทารกออกมาลืมตาดูโลกได้

          ระยะเฉื่อยนี้ ไม่นานหรอกครับ กินเวลาประมาณ 10 ถึง 30 นาทีเท่านั้น ระยะนี้มดลูกจะหดตัวน้อยลง หรือไม่หดรัดตัวเลย ผู้ดูแลการคลอดที่ไม่เข้าใจหลักการนี้ ก็อาจจะพยายามให้คุณแม่เบ่งตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมด ทั้ง ๆ ที่คุณแม่ไม่อยากเบ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำหลังจากระยะเฉื่อยแล้ว มดลูกก็จะเข้าสู่ระยะย่อยที่ 2 ต่อไป

          ระยะย่อยที่ 2 : ระยะเร่ง (active phase) ซึ่งระยะนี้คุณแม่มีความรู้สึกอยากเบ่งเหมือนกับการเบ่งถ่ายอุจจาระ เนื่องจากเป็นสรีรวิทยาอย่างเดียวกับการถ่ายอุจจาระ โดยมีศีรษะของทารกมากดบนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คล้าย ๆ กับที่อุจจาระลงมากดบนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเช่นเดียวกัน ในระยะนี้มดลูกจะมีการหดรัดตัวทุก ๆ 3-5 นาที เป็นระยะเวลาประมาณ 45-70 วินาที คุณแม่จะมีความรู้สึกอยากเบ่งเองโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องมีใครสอน คุณแม่จะภูมิใจมากที่สามารถเบ่งเองจนลูกคลอดออกมาได้ ความภูมิใจและความมั่นใจนี้เองที่จะเสริมกำลัง (empower) แก่คุณแม่ในการดูแลลูก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตลอดจนเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี

          คุณแม่ท้องแรกอาจใช้เวลาในระยะที่ 2 ประมาณมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ชั่วโมงหรือมากกว่า แต่ในท้องต่อ ๆ ไประยะย่อยนี้จะสั้นลงโดยจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

          ระยะที่ 3 ของการคลอด (third stage of labor) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่หลังจากทารกคลอดออกมาทั้งตัวแล้ว จนถึงรกออกมาหมด มดลูกจะหดรัดตัวไม่สม่ำเสมอ คุณแม่จะรู้สึกแน่น ๆ เมื่อรกลอกตัวและเคลื่อนตัวคลอดออกมา คุณแม่บางคนอาจรู้สึกปวดแบบบีบ ๆ หรืออยากเบ่งเมื่อรกเคลื่อนต่ำลงมาในช่องคลอด ในระยะนี้ส่วนใหญ่รกสามารถคลอดเองได้จากการทำงานของออกซิโทซินที่ช่วยให้มดลูกหดรัดตัวบีบไล่รกออกจากโพรงมดลูก ระยะนี้กินเวลาประมาณ 20 นาที

          เป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่รู้สึกเหนื่อยไปกับการคลอดที่กำลังจะเกิด หรือเกิดผ่านไปแล้วไหมครับ มีผู้รู้กล่าวว่า ถ้าสมมติว่าผู้ชายสามารถคลอดได้ จะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ดีเท่ากับที่ผู้หญิงที่เจ็บครรภ์คลอดได้ ผมถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มอบให้แก่คุณแม่ในการทำหน้าที่ดำรง เผ่าพันธุ์ของมนุษย์โลกให้อยู่ต่อไปในอนาคต





ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สรีระร่างกายแม่ กับการเจ็บครรภ์คลอด อัปเดตล่าสุด 24 พฤษภาคม 2555 เวลา 16:34:26 7,524 อ่าน
TOP
x close