
สรีระร่างกายแม่ กับการเจ็บครรภ์คลอด (รักลูก)
โดย: น.พ.เอกชัย โควาวิสารัช
ทราบไหมว่า ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประสบมาในโลกนี้คือ ความเจ็บปวดตอนไหน ลองเดาดูสิครับ แต่ขอบอกใบ้สักนิดว่า คุณผู้หญิงที่เป็นคุณแม่เคยมีประสบการณ์ความเจ็บปวดชนิดนี้มาแล้วทุกคน ใช่แล้วครับ การเจ็บครรภ์คลอดเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดนั่นเอง
ในปัจจุบันนี้ เรายังไม่ทราบว่า สาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บครรภ์คลอดคืออะไร แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดในระหว่างการคลอด





คุณแม่ครับ! คราวนี้ก็มาถึงเรื่องพื้นฐานเบื้องต้น เกี่ยวกับการเจ็บครรภ์คลอดที่คุณแม่ควรจะทราบไว้ เนื่องจากเรื่องนี้มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับหลักการดูแลการคลอด คุณแม่จะได้ทราบว่าที่คุณแม่จะประสบพบเห็นอะไรบ้างเมื่อคุณแม่กำลังจะคลอด
คุณแม่ที่เจ็บครรภ์จริง มีอาการปวดร่วมกันกับมีการหดรัดตัวของมดลูก อาการปวดนี้คล้ายคลึงกับอาการปวดประจำเดือน แต่จะปวดที่บริเวณมดลูกทั้งใบ อาการปวดทวีระดับความรุนแรง (severity) เพิ่มขึ้น ช่วงเวลาระหว่างการปวดแต่ละครั้ง (interval) สั้นลงเรื่อย ๆ เช่น จากเจ็บทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เป็นทุก ๆ ชั่วโมง เป็นทุก 30 นาที เป็นต้น
ระยะเวลาในขณะที่มดลูกหดรัดตัวที่ทำให้ปวดแต่ละครั้ง (duration) จะนานขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จาก 10 วินาที เป็น 20 วินาที เป็น 40 วินาที เมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์จริงแล้ว การคลอดจะดำเนินต่อไปจนกระทั่งทารกคลอดในที่สุด โดยไม่มีอะไรหยุดยั้งการคลอดได้ แต่ถ้าอาการเจ็บปวดไม่สม่ำเสมอ และห่างออกไปเรื่อย ๆ ร่วมกับการที่มดลูกหดรัดตัวเบา ๆ ไม่รุนแรง และหยุดโดยไม่มีการคลอดเกิดขึ้น เราเรียกว่าการเจ็บครรภ์หลอก (false labor) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งเกิดจากการซ้อมหดรัดตัวของมดลูก (Braxton Hicks contractions) โดยปกติแล้ว อาการเจ็บปวดจะน้อยไม่รุนแรง
ผมขอแนะนำคุณแม่ว่า ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์สม่ำเสมอประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อชั่วโมง ก็ควรไปโรงพยาบาล เนื่องจากมีโอกาสที่จะเจ็บครรภ์จริง มากกว่าเจ็บครรภ์หลอกครับ
คุณแม่ครับ! ในการคลอดวิถีธรรมชาติ นิยมแบ่งการเจ็บครรภ์คลอดออกเป็น 3 ระยะ คือ


จุดเริ่มต้นของการเจ็บครรภ์จริงเป็นสิ่งที่ค้นหาได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเราไม่สามารถจับดูว่ามดลูกมีการหดรัดตัวตั้งแต่เริ่มแรกได้ เนื่องจากคุณหมอไม่สามารถตรวจคุณแม่ได้ตลอดเวลา และเรายังไม่ทราบว่า การเจ็บครรภ์จริงนั้นเริ่มต้นได้อย่างไรและอะไรคือสาเหตุของการเจ็บครรภ์
ในปัจจุบันนี้จึงต้องใช้วิธีถามจากคุณแม่เป็นหลักว่าเริ่มเจ็บครรภ์ตั้งแต่ เมื่อไร แต่อย่างไรก็ตามต้องติดตามดูต่อไปว่า การเจ็บครรภ์นั้นดำเนินต่อไปจนกระทั่งคลอดหรือเป็นการเจ็บครรภ์หลอกซึ่งใน ระยะแรก ๆ อาจจะวินิจฉัยแยกจากกันยากในบางครั้ง

ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 4-8 ซม. และปากมดลูกจะบางตัวเต็มที่แล้ว (100%) โดย ร่างกายจะเริ่มสร้างและหลั่งเอนดอร์ฟินออกมาเพื่อช่วยให้คุณแม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดครรภ์ที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งคลอดลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลกในที่สุด
ในระยะย่อยที่ 2 นี้ พฤติกรรมของคุณแม่จะเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มเงียบลง ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ แต่จะหันกลับมาสนใจในตัวตนของตัวเอง (focus inwardly) โดยเฉพาะการหดรัดตัวของมดลูก จะนั่งอยู่กับที่ หลับตาลงคล้าย ๆ กับคนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ อาการแสดงต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสัญญาณที่บอกเราได้เป็นอย่างดีว่าระดับเอนดอร์ฟินในร่างกายคุณแม่นั้นเริ่มสูงขึ้น และมีระดับเพียงพอสำหรับความต้องการที่จะใช้ในการดำเนินการคลอด
นอกจากนี้ก็ยังสามารถบอกได้ทางอ้อมว่า การทำงานของมดลูกก็น่าจะดีเช่นเดียวกัน จึงทำให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟิน เพื่อให้คุณแม่สามารถต่อสู้กับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นในระยะนี้ เราจึงไม่ควรรบกวนความต้องการของคุณแม่โดยพยายามให้คุณแม่อยู่ตามลำพังกับตัวเอง

ผลของฮอร์โมนนี้ทำให้คุณแม่ยังคงมุ่งสนใจในตัวเอง บางครั้งอาจจะหลงลืม เช่น จำสถานที่หรือบุคคลไม่ค่อยได้ (disorientation) คุณแม่จะหายใจถี่และเร็วขึ้น เพื่อตอบสนองต่อการปวด คุณแม่บางคนอาจร้องครวญคราง เอะอะโวยวาย ขอให้คุณหมอช่วยทำอะไรก็ได้เพื่อให้หายปวด เช่น ขอยาแก้ปวด ขอให้ผ่าตัดคลอด เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ดูแลการคลอดต้องเข้าใจให้ดีว่าอาการต่าง ๆ เหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเอนดอร์ฟิน มิใช่ว่าคุณแม่มีความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ดังนั้นจึงควรพยายามช่วยประคับประคองคุณแม่ โดยไม่แทรกแซงที่ไม่จำเป็น และหลังคลอดแล้ว คุณแม่ก็จะหลงลืมอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปลิดทิ้ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นหน้าลูก คุณแม่บางคนอาจมีอาการบางอย่างร่วมด้วย เช่น หนาวสั่น เป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก หรือมีความรู้สึกปวดหน่วง ๆ เมื่อศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลง และเคลื่อนไปจนถึงช่องทางคลอด
ในช่วงปลายระยะนี้มดลูกกำลังเปลี่ยนหน้าที่ จากการขยายปากมดลูกเป็นการผลักดันทารกให้ออกมาทางช่องคลอด ซึ่งสามารถจะทราบได้โดยคุณแม่เริ่มมีความต้องการอยากเบ่งถ่ายเหมือนถ่าย อุจจาระ


คุณแม่ลองคิดดูสิครับว่า สมมติว่าถ้าเราไปออกกำลังกายเล่นกีฬาอะไรสักอย่าง ผมว่าเอาแค่ 1 ชั่วโมงก็พอแล้ว ร่างกายจะอ่อนระโหยโรยแรงมากขนาดไหน แล้วจะเทียบอะไรกับการเจ็บครรภ์คลอดที่เป็นสุดยอดของความเจ็บปวดของมนุษย์ ที่คุณแม่เผชิญอยู่เป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมง ร่างกายคุณแม่จะอ่อนเพลียขนาดไหน
นี่แหละครับ ผมถึงได้กล่าวว่า เป็นความกรุณาของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์โลกเพศหญิงโดยเฉพาะที่กำหนดให้มีการ พักผ่อนสักหน่อย ก่อนที่จะเบ่งคลอด ซึ่งก็ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาลอีกเช่นกัน ในการที่จะเบ่งคลอดทารกออกมาลืมตาดูโลกได้
ระยะเฉื่อยนี้ ไม่นานหรอกครับ กินเวลาประมาณ 10 ถึง 30 นาทีเท่านั้น ระยะนี้มดลูกจะหดตัวน้อยลง หรือไม่หดรัดตัวเลย ผู้ดูแลการคลอดที่ไม่เข้าใจหลักการนี้ ก็อาจจะพยายามให้คุณแม่เบ่งตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมด ทั้ง ๆ ที่คุณแม่ไม่อยากเบ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำหลังจากระยะเฉื่อยแล้ว มดลูกก็จะเข้าสู่ระยะย่อยที่ 2 ต่อไป

คุณแม่ท้องแรกอาจใช้เวลาในระยะที่ 2 ประมาณมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ชั่วโมงหรือมากกว่า แต่ในท้องต่อ ๆ ไประยะย่อยนี้จะสั้นลงโดยจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

เป็นยังไงบ้างครับ คุณแม่รู้สึกเหนื่อยไปกับการคลอดที่กำลังจะเกิด หรือเกิดผ่านไปแล้วไหมครับ มีผู้รู้กล่าวว่า ถ้าสมมติว่าผู้ชายสามารถคลอดได้ จะไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ดีเท่ากับที่ผู้หญิงที่เจ็บครรภ์คลอดได้ ผมถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่มอบให้แก่คุณแม่ในการทำหน้าที่ดำรง เผ่าพันธุ์ของมนุษย์โลกให้อยู่ต่อไปในอนาคต
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
