40 สัปดาห์ ลูกน้อยในครรภ์ (รักลูก)
นับตั้งแต่ไข่กับอสุจิปฏิสนธิเป็นตัวอ่อน จนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นทารกและคลอดออกมามีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายเกิดกับตัวอ่อน เป็นต้นว่า การสร้างอวัยวะต่างๆ การเจริญเติบโตของร่างกาย การเจริญเติบโตของรก ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ และรกมีลักษณะแตกต่างจากทารกที่คลอดมาแล้ว
การนับอายุของทารกในครรภ์จะเริ่มนับหลังจากปฏิสนธิ ดังนั้นอายุของทารกในครรภ์จะอ่อนกว่าอายุครรภ์ของคุณแม่ ซึ่งนับจากระดูครั้งสุดท้าย 2 สัปดาห์ เมื่ออายุ 10 วัน ตัวอ่อนจะฝังตัวเข้าไปในชั้นเยื่อบุโพรงมดลูกอย่างสมบูรณ์
สัปดาห์ที่ 4 ถึง 8 หลังจากการปฏิสนธิจะเป็นช่วงของการสร้างอวัยวะต่าง ๆ
สัปดาห์ที่ 10 หลังการปฏิสนธิ หรือ สัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์ยอดมดลูก เริ่มคลำได้ที่เหนือกระดูกหัวหน่าว ความยาวของทารกจากศีรษะข้างต้น 6-7 ซม. เริ่มมีการสร้างเนื้อกระดูก และมีการพัฒนาของนิ้วมือและเท้าผิวหนังเล็บ และเส้นขนอวัยวะเพศภายนอกเริ่มแยกได้ว่าเป็นเพศภายนอกเริ่มแยกได้ว่าเป็นเพศชายหรือหญิง ระยะนี้ทารกเริ่มมีการเคลื่อนไหว
สัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์ ความยาวของทารก 12 ซม. น้ำหนัก 110 กรัม
สัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ ทารกมีน้ำหนักประมาณ 630 กรัม ผิวหนังมีลักษณะเหี่ยวย่นเริ่มมีไขมันสะสมที่ชั้นใต้ผิวหนัง เริ่มมีขนคิ้ว และขนตา หลอดลม เริ่มพัฒนาแต่ถุงลมในปอดนั้นยังไม่พัฒนา ดังนั้นถ้าคลอดระยะนี้ทารกจะพยายามหายใจ แต่ไม่มีถุงลมแลกเปลี่ยนออกซิเจน และเสียชีวิตในที่สุด
สัปดาห์ที่ 28 ของการตั้งครรภ์ความยาวของทารกประมาณ 25 ซม.และน้ำหนัก 1,100 กรัม ผิวหนังจะปกคลุมด้วยไข ทารกที่คลอดในระยะนี้จะเคลื่อนไหวแขนขาได้ดี และส่งเสียงร้องได้เบา ๆ
สัปดาห์ที่ 32 ของการตั้งครรภ์ ทารกจะเริ่มมีความยาว 28 ซม. และน้ำหนัก 1,800 กรัม ผิวหนังยังคงมีลักษณะเหี่ยวย่น ทารกที่คลอดระยะนี้ มักจะสามารถเลี้ยงรอดได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
สัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์ ความยาวของทารกประมาณ 32 ซม. และน้ำหนักประมาณ 2,500 กรัม รูปร่างของทารกจะอ้วนขึ้น และรอยเหี่ยวย่นที่ผิวหนังหายไป จากการสะสมของไขมันใต้ผิวหนัง
สัปดาห์ที่ 40 ของการตั้งครรภ์ ทารกจะพัฒนาสมบูรณ์เต็มที่ ความยาวของทารกประมาณ 36 ซม. น้ำหนัก 2,500-4,000 กรัม น้ำหนักของทารกอาจแตกต่างไปบ้าง ผิวหนังเรียบไม่มีขนอ่อน ยกเว้นบริเวรบ่า มีไขตามตัว หนังศีรษะมีผมยาว 2-3 ซม. กระดูกอ่อนของจมูกและหูเจริญเต็มที่นิ้วมือและนิ้วเท้ามีเล็บยาวเลยปลายนิ้วออกมา ในทารกเพศชายลูกอัณฑะ จะลงมาในถุงอัณฑะ ซึ่งในทารกเพศหญิงแคมนอกจะโตเต็มที่ และชิดกัน กระดูกของกะโหลกศีรษะยังไม่เชื่อมกัน ยังคงมีร่องระหว่างกระดูกกะโหลกศีรษะแต่ละชิ้น ตามีสีเฉพาะตามเชื้อชาติ
หลังจากอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ น้ำคร่ำจะมาจากปัสสาวะทารก และส่วนน้อยมาจากของเหลวจากปอดของทารก และของเหลวที่ซึมออกจากรก ปริมาตรของน้ำคร่ำเปลี่ยนแปลงตามอายุครรภ์ ปริมาตรน้ำคร่ำเพิ่ม 10 มล./สัปดาห์ ตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ และเพิ่มสูงถึง 60 มล./สัปดาห์ เมื่ออายุครรภ์ 21 สัปดาห์ หลังจากนั้นการเพิ่มของปริมาตรนั้นจะเริ่มลดลงจนมีปริมาตรคงที่ ที่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ปริมาตรของน้ำคร่ำจะเพิ่มจาก 50 มล.ที่ 12 สัปดาห์ เป็น 400 มล.ที่ 20 สัปดาห์ น้ำคร่ำ จะทำหน้าที่ป้องกันทารกจากแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และทำให้ทารกมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตและเคลื่อนไหว น้ำคร่ำช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ในน้ำคร่ำมีสารอาหารเพียงเล็กน้อย น้ำคร่ำมีโปรตีนหลายชนิด และมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาของปอด และลำไส้ ทารกที่มีน้ำคร่ำน้อย มักเกิดปัญหาปอดไม่พัฒนา
ระบบโลหิต การสร้างเม็ดเลือดในทารกเริ่มปรากฏใน yolk sac จากนั้นเปลี่ยนมาที่ตับ และไขกระดูกในที่สุดการสร้างเม็ดเลือดแดง จะสร้างจากตับในช่วงแรก และเปลี่ยนมาเป็นที่ไตในช่วงหลัง
ระบบภูมิคุ้มกัน ในทารกเริ่มทำงานเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13 สัปดาห์ ในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ จะมีการส่งภูมิคุ้มกันผ่านรกมาสู่ทารกอย่างมากในทารกแรกเกิดจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันได้เองในระดับต่าง ๆ จนกระทั่งอายุ 3 ปี จะสร้างได้เท่ากับผู้ใหญ่
ระบบประสาท เริ่มมีการทำงานของระบบประสาททารกตั้งแต่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์ โดยเริ่มมีการงอของคอและลำตัว ตุ่มรับรสที่ลิ้นเริ่มมีเมื่ออายุครรภ์ 9 สัปดาห์ และจุดรับรสที่ตุ่มรับรสจะทำงานเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เมื่ออายุครรภ์ 10 สัปดาห์ ทารกเริ่มกลืนได้ และทารกจะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น โดยการกรอกตา อ้าปาก และอมนิ้ว ทารกสามารกำมือได้เต็มที่เมื่ออายุครรภ์ 12-16 สัปดาห์ เมื่ออายุครรภ์ 14-16 สัปดาห์ ทารกเริ่มเคลื่อนไหวทรวงอกได้ เมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์ ทารกเริ่มดูดปากได้ เมื่ออายุครรภ์ 24-26 สัปดาห์ทารกเริ่มได้ยิน เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ทารกเริ่มมองเห็นแสง แต่จะมองเห็นรูปร่าง และสีได้เมื่อหลังคลอด
ระบบทางเดินอาหาร ทารกเริ่มกลืนได้ และลำไส้เล็กเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมดูดซึมกลูโครสได้ เมื่ออายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์ ทารกที่ครบกำหนดจะกลืนน้ำคร่ำ 20-760 มล.ต่อวัน ในช่วงหลังของการตั้งครรภ์ พบว่าปริมาตรน้ำคร่ำขึ้นอยู่กับการกลืนของทารกด้วย
ขี้เทา ประกอบด้วย เศษของสิ่งต่าง ๆ ในน้ำคร่ำที่ทารกกลืนลงไป เซลล์ที่หลุดจากร่างกายทารก ขนอ่อน ผมและไขสีเขียวเข้มของขี้เทาเกิดจากเม็ดสี การถ่ายขี้เทาออกมาเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของลำไส้ตามปกติ ตับอ่อนสามารถสร้างอินซูลิน ตั้งแต่อายุครรภ์ 9-10 สัปดาห์
ระบบปัสสาวะ ไตของทารกมีการพัฒนา 3 ระยะ เริ่มเมื่ออายุครรภ์ 2 สัปดาห์ ไตไม่จำเป็นต่อการรอดชีวิตของทารกขณะอยู่ในครรภ์ การอุดตันของท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต และกรวยไตของทารกในครรภ์ จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อไต เกิดภาวะน้ำคร่ำน้อย และปอดไม่เจริญ
ระบบทางเดินหายใจ การเจริญของระบบทางเดินหายใจทารกมีความสำคัญต่อการรอดชีวิตของทารกหลังคลอด กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ เริ่มทำงานเมื่ออายุครรภ์ 11 สัปดาห์ และเมื่อ 12 สัปดาห์ ก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้จนทำให้เกิดการไหลของน้ำคร่ำเข้าและออกจากปอด ภาวะที่ทารกส่งเสียงร้องขณะอยู่ในครรภ์พบได้น้อย โดยอาจพบหลังจากที่ถุงน้ำคร่ำแตก และมีอากาศเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ
ในวาระที่ "รักลูกมีอายุครบรอบ 30 ปี ซึ่งถ้าเป็นสาว ๆ ก็เรียกว่า "30 ยังแจ๋ว" ผมจึงให้ความรู้ 40 สัปดาห์ทารกในครรภ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสรีรวิทยาของทารกในครรภ์ เพื่อให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ได้เห็นภาพของลูกน้อยตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงลูกน้อยของคุณแม่คลอดออกมาครับ"
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 30 ฉบับที่ 349 กุมภาพันธ์ 2555