10 เรื่องเป็นพ่อแม่เตรียมพร้อม (รักลูก)
เรื่อง : สิริพร
เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญ คือวันที่จะได้เป็นพ่อแม่เต็มตัว อาจทำให้เราตื่นเต้นจนละเลยการเตรียมพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นนะคะ
1.เตรียมพร้อม...สุขภาพ&ร่างกาย
เรื่องของสุขภาพและร่างกายเป็นสิ่งสำคัญค่ะที่คุณแม่จะต้องจูงมือคุณพ่อมาตรวจเช็กตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อความมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้น โดยต้องตรวจใน 3 เรื่องหลัก ๆ
ตรวจโรคและสุขภาพทั่วไป การตรวจเช็กโรคทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก่อนตั้งครรภ์ ช่วยให้รู้ว่ามีโรคแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงและเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ เช่น โลหิตจาง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมต่าง ๆ ซึ่งหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ คุณหมอจะได้เตรียมการป้องกัน หรือให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อครรภ์ที่สมบูรณ์และปลอดภัยในอนาคตค่ะ
ป้องกันโรคด้วยวัคซีน โดยเฉพาะคุณแม่ที่ป่วยง่าย มีภูมิต้านทานโรคน้อย จำเป็นต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันไว้ก่อน หากปล่อยไว้แล้วเกิดป่วยเป็นหัดเยอรมันตอนตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงแท้งได้
ออกกำลังกาย...ฟิตร่างกาย การออกกำลังกายเป็นวิธีเตรียมพร้อมร่างกายที่ดีสำหรับการตั้งครรภ์จนถึงวันคลอด ควรออกกำลังกายตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ให้ชินค่ะ เพราะกล้ามเนื้อที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน จะต้องใช้ออกซิเจนเยอะมาก ทำให้ออกซิเจนที่จะส่งไปยังลูกเหลือน้อยมากตามไปด้วย คุณแม่จึงควรที่จะต้องเตรียมพร้อมร่างกายด้วยการออกกำลังกายตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ และต่อเนื่องมาจนถึงตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลที่ดีต่อการคลอดด้วยค่ะ
2.เตรียมใจรับ "ลูก" อย่างมีความสุข
รู้สึกสุขใจที่จะได้เป็นแม่ ความพร้อมทางจิตใจนั้นอยู่เหนือความพร้อมทั้งหมด หากความรู้สึกนี้ได้พรั่งพรูออกมาจากใจของคุณแม่ 9 เดือนแห่งการรอคอย ก็จะกลายเป็นการรอคอยแห่งความสุขที่สุด
คุณสามีก็สุขใจไปพร้อมกับเรา คนใกล้ชิดเราที่สุด อย่างคุณสามีจะต้องเตรียมพร้อมไปด้วยกันในทุกด้านโดยเฉพาะด้านจิตใจจะมาก่อนค่ะ ตามด้วยการดูแลช่วยเหลือที่เต็มไปด้วยความรัก ความรู้สึกสุขที่จะได้เป็นพ่อนี้จะทำให้การเตรียมพร้อมในด้านอื่น ๆ เช่น การทำงานหาเงินเพื่อดูแลครอบครัวต่อไปนั้นมีความหมายมากขึ้นค่ะ
3.เตรียมฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลใกล้บ้าน
การฝากครรภ์เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ ควรเลือกฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือโรงพยาบาลที่สามารถเดินทางไปได้สะดวกค่ะไม่เสียระยะเวลาเดินทางนานเกินไป ที่สำคัญโรงพยาบาลนั้นก็ควรจะได้มาตรฐานมีสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ประจำ เป็นโรงพยาบาลที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีคุณหมอที่ดูแลทารกแรกเกิดโดยเฉพาะด้วย หากเราเลือกโรงพยาบาลที่พร้อมในทุกด้าน คุณแม่ก็สามารถวางใจว่าได้ฝากชีวิตของเราและลูกไว้อย่างปลอดภัย
4.เตรียมวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างรอบครอบ
คุณแม่และคุณพ่อต้องวางแผนเรื่องการเงินระยะยาว โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ตั้งครรภ์ และในวันสำคัญอย่างวันคลอดด้วยค่ะ
เตรียมเงินสำหรับการคลอด ค่าใช้จ่ายในการคลอด คุณแม่อาจทราบล่วงหน้าจากโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ จึงสามารถวางแผนการใช้เงินได้คร่าว ๆ ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง แนะนำให้เผื่อวงเงินไว้ที่อัตราสูงสุดที่โรงพยาบาลตั้งไว้นะคะ เพราะเมื่อถึงเวลาอาจไม่สามารถคลอดเอง แต่อาจต้องผ่าคลอด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน
เตรียมเงินสำหรับภาวะเสี่ยงหลังคลอด หลังคลอดอาจเกิดภาวะต่างๆ ทั้งกับตัวคุณแม่ และลูกน้อยได้ เช่น เมื่อคลอดแล้วลูกเกิดไม่สบาย หรือมีภาวะตัวเหลือง คุณแม่ตกเลือดหลังคลอด หรือเป็นแผลคลอดอักเสบ เป็นหนองอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่หลังคลอด ค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มตามอาการและจำนวนวันที่พักฟื้น
โดยส่วนมากการพักฟื้นของคุณแม่หลังคลอด ทั้งที่คลอดเองและผ่าตัดคลอด พอผ่าน 24 ชั่วโมงแรกไป ร่างกายค่อนข้างจะคืนตัวได้แล้ว แต่การที่คุณหมอให้อยู่โรงพยาบาลก่อน ก็เพื่อทางโรงพยาบาลจะฝึกให้คุณแม่เลี้ยงลูกได้ถูกวิธี และประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และเพื่อเช็กระดับไทรอยด์ฮอร์โมน ในช่วง 48-72 ชั่วโมงหลังคลอดหรือประมาณ 2-3 วัน ถ้าเช็กเรียบร้อยแล้วลูกไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร คุณแม่สามารถเลี้ยงลูกและให้นมลูกได้อย่างถูกต้อง คุณหมอก็จะอนุญาตให้คุณแม่กลับบ้านได้ค่ะ
5.เตรียมลางาน...พร้อมเป็นคุณแม่เต็มตัว
ก่อนถึงวันคลอด คุณแม่ต้องศึกษากฎเกณฑ์การลาคลอด สิทธิต่าง ๆ ที่พึงจะได้รับและเตรียมลางานล่วงหน้าให้เรียบร้อย ตามกฎหมายคุณแม่สามารถลาคลอดได้ 90 วัน แต่สำหรับคุณแม่ที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ต้องศึกษาขั้นตอนการลางาน หรือนโยบายของบริษัทนั้นๆ ถึงจำนวนวันที่สามารถลาคลอดได้ เพื่อจะได้วางแผนในการจัดการต่าง ๆ รวมถึงการเลี้ยงลูกได้อย่างเหมาะสม
6.เตรียมของสำคัญ...ก่อนไปโรงพยาบาล 2 สิ่งสำคัญนี้ คุณแม่ต้องไม่ลืมนำติดตัวไปด้วย เมื่อต้องไปคลอด
ใบฝากครรภ์ ซึ่งมีข้อมูลสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของคุณแม่ เช่น มีประวัติการตรวจร่างกายความเสี่ยงต่าง ๆ ที่คุณแม่มี แผนการต่าง ๆ ที่คุณหมอได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว
การตรวจโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ประวัติการตรวจโรคเบาหวาน โรคธาลัสซีเมียระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงน้ำหนักตัวของคุณแม่ ขนาดมดลูก และการดิ้นของลูกในครรภ์ เป็นต้น
ถ้าเกิดเจ็บครรภ์ฉุกเฉินไม่สามารถไปโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ได้ ใบฝากครรภ์ช่วยให้คุณหมอสามารถดูประวัติและภาวะเสี่ยงต่าง ๆ ของคุณแม่ได้อย่างครบถ้วน
กระเป๋าของใช้จำเป็น พวกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวคุณแม่และของลูกน้อยควรเตรียมควรจะจัดใส่ไว้ในกระเป๋าที่หิ้วหรือขนย้ายได้ง่าย เตรียมพร้อมไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ ซึ่งในกระเป๋าใบนั้นควรจะมีเอกสารสำคัญ เช่น ใบฝากครรภ์ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน และของใช้จำเป็น เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ฯลฯ เพราะเมื่อถึงเวลาคลอด จะได้ไม่ลืมของทุกอย่างที่จำเป็นค่ะ
7.เตรียมของเตรียมสถานที่รอเจ้าตัวเล็ก
ควรเตรียมสถานที่เลี้ยงดูลูกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ค่ะ เพื่อว่าช่วงหลังคลอดสามารถพาลูกมายังห้องที่เตรียมไว้ได้เลย ซึ่งควรเป็นห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด ปลอดเชื้อโรค มีอุปกรณ์ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กแรกเกิดครบถ้วน ซึ่งการเตรียมของ รวมถึงเสื้อผ้าให้ลูก อาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามการเจริญเติบโต และพัฒนาการของลูกเราได้นะคะ
8.คนพร้อม...รถก็ต้องพร้อม
นอกจากตัวคุณแม่ และสิ่งของจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนคลอดแล้ว 2 สิ่งต่อไปนี้ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน
คนใกล้ชิด การเจ็บคลอดเป็นภาวะฉุกเฉินอย่างหนึ่ง หากว่าคุณแม่เกิดเจ็บท้องในช่วงที่คุณสามีสุดที่รักติดธุระกะทันหัน ไม่สามารถพาคุณแม่มาโรงพยาบาลได้ จำเป็นต้องมีญาติสนิทหรือคนใกล้ชิดที่สามารถติดต่อได้ง่าย ช่วยเหลือเราได้ทันท่วงทีค่ะ
เตรียมพาหนะ หากไม่สามารถไปโดยรถส่วนตัวได้ คุณแม่ต้องมีเบอร์ติดต่อรถแท็กซี่หรือรถโรงพยาบาลเตรียมพร้อมไว้ด้วยค่ะ แต่ไม่ว่าจะไปโรงพยาบาลด้วยยานพาหนะชนิดใดก็จะต้องมีคุณสามี หรือคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้และสามารถพาเราไปส่งที่โรงพยาบาลอย่างปลอดภัยด้วยเสมอนะคะ
9.เตรียมคำนวณเวลาเดินทาง
การเดินทางมาคลอด ควรจะเผื่อเวลาในการเดนิทางไว้เป็นดีที่สุด เพราะระยะเวลาเจ็บท้องคลอดนั้น ขึ้นอยู่กับการการท้องแรก ท้อง 2 หรือท้องที่ 3 ด้วย ถ้าเป็นท้องแรก การเจ็บท้องคลอดอาจใช้เวลานาน ซึ่งตามปกติถ้าปากมดลูกเปิดแล้ว จากนั้นจะเปิดชั่วโมงละ 1 เซนติเมตร กว่าจะคลอดจึงอาจกินเวลาหลายชั่วโมง คุณแม่บางคนมาถึงโรงพยาบาลก็คลอดได้ทันที ขณะบางคนอาจต้องรอข้ามวันค่ะ เมื่อไม่สามารถคาดเดาเวลาได้แน่นอน คุณแม่จึงควรมาถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด คุณหมอก็จะดูให้เองว่าพร้อมคลอดแล้ว หรือแค่เจ็บเดือนค่ะ
10.เจ็บนี้...พร้อมคลอดแล้วนะ
ส่วนใหญ่คุณแม่จะรู้ได้ว่าอาการเจ็บที่เป็นนั้น คือการเจ็บคลอดหรือเจ็บเตือน การเจ็บเตือนเกิดได้ตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดคลอด โดยจะรู้สึกเจ็บไม่สม่ำเสมอ หรือเจ็บตอนที่มีกิจกรรม เช่น มีการเคลื่อนไหวมาก ๆ เดินบ่อย ๆ หรือยกของ ก็จะรู้สึกเจ็บเพราะลูกมีการเคลื่อนไหว เมื่อนอนพักอาการจะทุเลาลง
การเจ็บคลอดมีลักษณะการเจ็บที่สม่ำเสมอ นอนพักก็ยังไม่หาย ยิ่งรอไปจะยิ่งเจ็บถี่ขึ้น เจ็บแรงขึ้นถ้ามีมูกเลือดออกในช่องคลอด หรือมีน้ำคร่ำไหลออกมาก็แสดงว่านั่นเป็นการเจ็บคลอดให้รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
หากเราสามารถเตรียมพร้อมทั้ง 10 เรื่องนี้ได้แล้ว จะช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่มั่นใจ มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุข และเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 30 ฉบับที่ 349 กุมภาพันธ์ 2555