7 อาการกวนใจของแม่ตั้งครรภ์ (Mother & Care)
อาการระหว่างตั้งครรภ์มีหลากหลาย บางคนเกิดขึ้นไม่กี่อาการ บางคนท้องจนท้อ ซึ่งอาการส่วนใหญ่ มักทำให้รู้สึกไม่สบายตัว พลอยทำให้ไม่สบายใจตามมา ดังนั้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เรามีมูลเหตุของอาการและการปฏิบัติตัว ช่วยให้คุณสบายกาย สบายใจ มาฝากกันค่ะ
1. แพ้ท้อง : อาการเด่น ๆ เลยคือ คลื่นไส้อาเจียน เหม็น เบื่ออาหารหรือกินไม่ค่อยลง ส่วนใหญ่เป็นช่วง 3 เดือนแรก บางคนเท่านั้นที่จะเป็นถึงช่วงใกล้คลอด
กินครั้งละน้อย ๆ พออิ่ม และเคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด เพื่อให้อาหารย่อยง่ายขึ้น หรืออาหารอ่อน ๆ เช่น นม น้ำซุป โจ๊ก ข้าวต้ม
จิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือน้ำขิงอุ่น ๆ จะช่วยบรรเทาอาการและทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสีย จากการคลื่นไส้ได้
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอาการ และรู้สึกดีขึ้น
2. ปัสสาวะบ่อย : ช่วงเดือนแรก ๆ มดลูกมีการขยายตัวขึ้นไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุน้อยลง จึงเกิดอาการอยากเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ บางครั้งก็มีอาการปัสสาวะเล็ดเวลาจามหรือไอได้ เป็นอาการกวนใจ รู้สึกไม่สบายตัว
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น มดลูกจะเริ่มพ้นเชิงกรานไป อาการที่เป็นก็น้อยลง และเป็นอีกรอบในช่วงใกล้คลอดเมื่อท้องเริ่มต่ำลง เรื่องที่ต้องใส่ใจให้มาก คือ ความสะอาดค่ะ
ถ้าปัสสาวะบ่อยร่วมกับมีอาการปวด แสบ หรือมีเลือดปนมากับปัสสาวะ ให้รีบพบคุณหมอ เพราะอาจเป็นการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
3. ท้องผูก : การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน มีผลต่อการยืดขยายตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร ทำให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง และเกิดอาการท้องผูก ที่สำคัญ ถ้าปล่อยให้เป็นนาน อาจทำให้เป็นริดสีดวงทวารได้
กินอาหารที่ให้กากใยอย่างผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ถั่ว ธัญพืชชนิดต่าง ๆ ยังเป็นหลักการกินที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดอาการท้องผูกได้เสมอ ทุกเพศ ทุกวัยด้วยค่ะ
น้ำ มีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานสะดวก การดื่มน้ำมากขึ้น หรือกินน้ำลูกพรุนก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น
4. จุกเสียด แน่นหน้าอก : อายุครรภ์มากขึ้น มดลูกก็ขยายตาม จึงเบียดกระเพาะอาหารและทำให้ระบบการย่อยอาหารช้าลง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจึงย้อนกลับไปที่หลอดอาหาร เกิดอาการจุกเสียดแน่นหน้าอก เรอเปรี้ยว หลังจากกินอาหารอิ่มนั่นเอง
กินครั้งละน้อย ๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และไม่กินจนอิ่มมากเกินไป
เครื่องดื่ม เช่น น้ำขิง น้ำมะตูม ที่มีสรรพคุณระบายลมในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร ก็ลดอาการจุดเสียดได้ดี
เสื้อผ้าที่สวมใส่ ก็ต้องไม่คับแน่นเกินไป เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง กดทับบริเวณกระเพาะอาหารมากขึ้น
5. ปวดหัว : มีหลาายเหตุผลที่เป็นต้นเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องใส่ใจกับอาการปวดหัว ไม่ให้เกิดความเครียดได้ง่าย ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อลูกน้อยในท้อง ดังนั้น การดูแลรักษาสุขภาพกายและใจอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เปลี่ยนอิริยาบถและกิจกรรมที่ทำบ้าง เพื่อให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้น หรือผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบ ๆ ศีรษะ ด้วยการนวดก็ช่วยลดอาการปวดหัวได้
จัดระเบียบสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าที่ห้องนอน, โต๊ะทำงานให้โล่ง โปร่ง เป็นวิธีดี ๆ ที่ช่วยให้คุณรู้สึกสบายตา สบายใจขึ้น
พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย คิดถึงสิ่งดีๆ ก็ช่วยคลายอาการ ปลดล็อกความเครียดในใจด้วยค่ะ
6. ตะคริว : กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ทำให้รู้สึกปวด เช่น น่อง ปลายเท้า ได้บ่อยๆ เพราะเกิดจากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหรือการไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก
ถ้าเป็นที่ต้นขา ให้เหยียดหัวเข่าให้ตรง ยกเท้าขึ้นจากพื้นเล็กน้อยและกระดกปลายเท้าลงด้านล่าง ส่วนที่น่อง ใช้ผ้ายาว ๆ คล้องที่ปลายเท้า ดึงผ้าเข้าหาตัวให้ตึง ให้ปลายเท้ากระดกเข้าหาตัว หรือใช้หมอนรองขาเพื่อลดอาการ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ การกินอาหารที่มีแคลเซียม ก็มีส่วนช่วยนะคะ เช่น นม ปลาตัวเล็ก ผักใบเขียว เป็นต้น
7. อาการบวม / เส้นเลือดขอด : การคั่งของน้ำในเนื้อเยื่อมากกว่าปกติ ทำให้มีอาการบวมหลังเท้า และเรื่องเส้นเลือดขอด ที่เกิดจากมดลูกกดทับเส้นเลือดดำ มักเกิดบริเวณขา ก็เป็นอาการที่ทำให้แม่ตั้งครรภ์รู้สึกอึดอัด จะเดิน นั่ง ไม่คล่องตัวนัก
เวลานั่งหรือนอน ยกเท้าสูงเล็กน้อย จะช่วยลดอาการลงได้
อย่านั่งหรือยืนนาน ไม่ใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าที่รัดแน่นเกินไป จะยิ่งทำให้อาการเป็นมากขึ้น
คุณแม่ท่านใดติดการปรุงอาหารรสเค็มจัด ต้องเลิกค่ะ เพราะเกลือทำให้ปริมาณโซเดียสูงกว่าปกติ ยิ่งทำให้คุณแม่รู้สึกกระหาย ร้อนใน มีความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดอาการบวมได้ (และยังมีอาการอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายตามมาอีกเป็นหางว่าว)
ห้ามซื้อยาขับปัสสาวะมากินเด็ดขาด ถ้าหากหน้าหรือแขนบวม ต้องแจ้งคุณหมอให้ทราบ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Vol.8 No.85 มกราคม 2555