เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพที่เห็นเจ้าตัวน้อยหลับไปคาขวดนมดูแล้วเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่เบา แต่ทราบไหมคะว่าพฤติกรรมที่ให้ลูกกินนมจนหลับไปคาขวดแบบนี้ อาจทำให้ลูกเสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้มากขึ้น
เบน กิ๊บส์ ศาสตราจารย์จากภาควิชาสังคมวิทยา หมาวิทยาลัยเบิร์กแฮม ยัง ในรัฐยูทาห์ สหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาจากผู้เป็นแม่จำนวน 8,000 ราย ที่มีลูกอ่อนวัย 9 เดือน บรรดาคุณแม่ทั้งหมดมีทั้งกลุ่มที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของตัวเอง และกลุ่มที่เลี้ยงลูกด้วยนมขวด
จากการติดตามผลการเจริญเติบโตและน้ำหนักตัวของทารกเมื่ออายุครบ 24 เดือน พบว่ากลุ่มทารกที่ถูกเลี้ยงด้วยนมขวดมีแนวโน้มที่จะเข้าข่ายน้ำหนักเกินมากกว่าทารกที่ถูกเลี้ยงด้วยน้ำนมจากอก โดยเฉพาะทารกที่ดื่มและนอนหลับคาขวดนมเป็นประจำ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอ้วนมากกว่าเด็กทั่วไปถึง 30% นอกจากนี้ยังได้พบว่า ทารกที่เริ่มกินอาหารแข็งก่อนอายุ 4 เดือน ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคอ้วนขึ้นอีก 40% เช่นกัน
ศาสตราจารย์กิ๊บส์กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าทารกที่ดื่มนมจากขวด ซึ่งมารดาได้ชงให้โดยการชั่งตวงเป็นปริมาณพอดีเป๊ะ ๆ ทุกมื้อ จะมีโอกาสเผลอดื่มเข้าไปมากมากเกินกว่าที่กระเพาะน้อย ๆ ต้องการ ต่างจากเด็กที่กินนมจากเต้าของคุณแม่โดยตรงที่หยุดดูดเองเมื่ออิ่ม หรืออย่างน้อยคุณแม่ก็สามารถเฝ้าดูอาการของลูกได้อย่างใกล้ชิดว่าดื่มนมพอแล้วหรือยัง ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้อาจติดตัวเด็กไปจนโต ทำให้เขาเสี่ยงมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว และปัญหาการควบคุมความอยากอาหารได้มากขึ้นในอนาคต แม้ว่าสาเหตุหลักในกาเป็นโรคอ้วนมักมาจากพันธุกรรม หรือความผิดปกติทางชีววิทยาของตัวผู้ป่วย แต่พฤติกรรมการกินของเด็กที่ถูกปลูกฝังโดยพ่อแม่ตั้งแต่เขายังเล็กก็มีบทบาทต่อโรคนี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ดอกเตอร์ซินเธีย มันน์ กุมารแพทย์จากรัฐคอนเนคติกัต ได้แย้งว่า ไม่เป็นการยุติธรรมนักที่จะตัดสินเด็กทารกที่จ้ำม่ำว่าเขาอยู่ในข่ายโรคอ้วน เพราะทารกนั้นเกิดมาพร้อมไขมันส่วนเกินจำนวนหนึ่งที่มีประโยชน์คอยรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกจะเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนหรือไม่ ก็ต้องคอยติดตามการเจริญเติบโตของเขา หากอัตราการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและส่วนสูงลูกสัมพันธ์กันอย่างสมดุล ก็ไม่น่าเป็นห่วงว่าลูกจะเป็นโรคอ้วน เว้นเสียแต่ว่าน้ำหนักของลูกจะเพิ่มไวแต่ไม่พัฒนาในเรื่องส่วนสูงเท่าไรนัก เช่นนี้ก็ควรต้องพามาพบแพทย์แล้วค่ะ