โนโรไวรัส การติดเชื้อท้องเสียที่กำลังระบาดในเด็กช่วงนี้ เตือนพ่อแม่อย่านิ่งนอนใจ มาดูวิธีสังเกต โนโรไวรัส อาการ พร้อมแนวทางป้องกันลูก ๆ จากไวรัสชนิดนี้กัน
ช่วงนี้เชื่อว่าใคร ๆ ก็ต้องได้ยินชื่อของ "โนโรไวรัส" กันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งถือเป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย และกำลังระบาดในกลุ่มเด็ก ๆ อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะตามโรงเรียนต่าง ๆ จะพบเด็กป่วยเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเป็นกังวลใจ กลัวว่าลูกจะติดเชื้อหรือป่วย ซึ่งจะมีวิธีสังเกต โนโรไวรัส อาการ การรักษา หรือวิธีป้องกันอย่างไรได้บ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลของโรคเด็กที่เกิดจากไวรัสโนโรมาให้ศึกษากันแล้วค่ะ
โนโรไวรัส คืออะไร
โนโรไวรัส (Norovirus) เดิมชื่อ นอร์วอล์กไวรัส (Norwalk Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อท้องเสีย ที่ไม่ใช่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส พบบ่อยในน้ำแข็ง ผัก-ผลไม้สด อาหารที่ปรุงไม่สุก เช่น อาหารทะเล รวมถึงการสัมผัสหรือโดนละอองอาเจียนของผู้ป่วยที่มีเชื้อก็สามารถติดต่อกันได้ ดังนั้น โนโรไวรัสจึงสามารถเกิดการระบาดได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กตามโรงเรียนที่อยู่รวมกันเยอะ ๆ จะพบได้บ่อย และติดต่อกันได้ในเวลาอันสั้น
ทั้งนี้ เชื้อโนโรไวรัสจะมีความคงทนมากต่อสภาพแวดล้อม โดยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ และมักระบาดมากในฤดูหนาว ติดต่อได้ง่ายในสภาพอากาศเย็น ทำให้เกิดโรคทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นเชื้อที่อันตรายถึงชีวิตได้หากไม่รีบรักษา ซึ่งอัตราการเสียชีวิตนั้นมักจะพบได้บ่อยในเด็กเล็ก คนสูงอายุ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น
โนโรไวรัส อาการเป็นอย่างไร
หากติดเชื้อโนโรไวรัสส่วนใหญ่จะมีอาการแสดงออกหลังจากที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายภายในเวลา 1-2 วัน โดยจะมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาเจียนอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ มีไข้ต่ำ ๆ และอ่อนเพลีย ซึ่งบางรายก็จะมีอาการมากหรือน้อยแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่อาการมักจะดีขึ้นภายใน 1-3 วัน หลังจากที่เริ่มมีอาการป่วย
โนโรไวรัส รักษาอย่างไร
การติดเชื้อท้องเสียจากเชื้อโนโรไวรัสตอนนี้ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่จะรักษาตามอาการ เช่น ให้ดื่มเกลือแร่ ให้ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้อาเจียน และรับประทานอาหารอ่อน ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปอาการมักจะดีขึ้นภายใน 1-3 วัน แต่ทั้งนี้ ถ้าหากเด็กเล็กหรือคนป่วยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ ช็อก หรือเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากรักษาเบื้องต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดทันทีโนโรไวรัส ป้องกันอย่างไร
ปัจจุบันถึงแม้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อโนโรไวรัส และยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ แต่วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ
- ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ อย่างน้อย 15-30 วินาที (หากเป็นเด็ก ๆ ควรสอนให้ล้างมือพร้อมกับร้องเพลงช้าง 1 จบ) ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร หรือหลังหยิบจับสิ่งของหรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ
- รับประทานอาหารที่ยังร้อน ๆ และปรุงสุกใหม่ ๆ และใช้ช้อนกลางเสมอ
- ดื่มน้ำสะอาด
- ล้างผัก-ผลไม้สดให้สะอาด ทำหอยนางรมหรือหอยชนิดอื่นให้สุกก่อนรับประทาน
- ทิ้งเศษอาเจียนและอุจจาระอย่างระมัดระวัง โดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ซับไม่ให้มีการฟุ้งกระจาย และทิ้งลงในถุงพลาสติก
- ผู้ป่วยควรเลี่ยงการหยิบจับหรือทำอาหารให้ผู้อื่น
- ทั้งนี้ เด็ก ๆ ที่ติดเชื้อท้องเสียโนโรไวรัส พ่อแม่ควรงดให้ลูกไปโรงเรียน และรักษาให้หายเป็นปกติเสียก่อน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokhospital.com, siphhospital.com, samitivejhospitals.com, bumrungrad.com