เด็กวัย 1-2 ปี ควรมีพัฒนาการและการส่งเสริมที่ดี
พัฒนาการเด็กและการส่งเสริมเด็กวัย 1-2 ปี (momypedia)
พัฒนาการเด็กทางร่างกายและการส่งเสริม
พัฒนาการเด็กทางอารมณ์ จิตใจ และการส่งเสริม
พัฒนาการเด็กทางภาษาและการส่งเสริม
พัฒนาการเด็กทางสังคมและการส่งเสริม
พัฒนาการเด็กทางสมองและการส่งเสริม
พัฒนาการเด็กทางร่างกายและการส่งเสริม
ลูกสามารถเดินและยืนได้เองอย่างมั่นคง อย่างเช่น สามารถเก็บของเล่นที่อยู่ที่พื้นและเดินเตาะแตะนำไปเก็บเข้าที่ได้ หากเจอสถานที่ที่ไม่เรียบ เขาจะคลานเหมือนหมี ปีนข้ามที่กีดขวางโดยลงน้ำหนักที่มือหรือเท้าพร้อมกับยกเข่าสูง ควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นมากโดยมีการเพิ่มความเร็วและหยุดได้เมื่อเจอบางสิ่งที่น่าสนใจ มีการกะระยะและควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้นมาก
ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กลูกสามารถหยิบจับสิ่งของหลายๆ ชิ้นได้ในมือเดียว มีการกำแน่นไม่ปล่อยหากมีคนมาแย่ง แต่ก็จะเดินนำของเล่นไปให้คนที่ตนเองถูกใจด้วย และนอกเหนือจากการหยิบจับแล้ว วัยนี้จะเริ่มดึง ฉุด ลาก สิ่งที่เขาชอบและเข้าใจการทำงานของของเล่นแบบดึงลาก ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้นด้วย
การเดินบ่อย ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อขาและการทรงตัวแข็งแรง ไม่ล้มง่าย วิ่งกระโดดได้ดีคล่องแคล่ว
การเดินช่วยพาเจ้าหนูไปยังพื้นสัมผัส (Sensory) ที่แตกต่างกันออกไป ได้เรียนรู้เรื่องทิศทางในการออกสู่โลกใหม่
การเล่นในสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างออกไป ทำให้เด็กได้ฝึกคิดต่อ มีความคิดสร้างสรรค์ว่าจะเล่นอะไรกับสิ่งแวดล้อมใหม่นี้ดี
การสำรวจพบสิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง อย่างแรกที่ได้คือความภูมิใจ มีทั้งความสนุก ความตื่นเต้น จนบางครั้งออกอาการขี้อวดหยิบสิ่งที่ไปเจอเอามาให้คุณแม่ด้วย
เมื่อลูกเริ่มก้าวเดินได้ ความใส่ใจอย่างแรกเห็นทีจะเป็นเรื่องความปลอดภัยนะคะ คุณควรทำบ้านให้รัดกุม มีที่กั้นระหว่างบันไดหรือประตู ยิ่งบ้านไหนมีสระน้ำแล้วยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก
ควรจะเลือกของเล่นที่เหมาะกับพัฒนาการ เพิ่มทักษะ และความคิดสร้างสรรให้ลูกได้ เช่น ตัวต่อ สีเทียนสีไม้ พลั่วขุดดินและกระป๋องอันจิ๋ว อุปกรณ์บทบาทสมมุติ รถลาก ฯลฯ และไม่ต้องมีเยอะแยะจนเกินความจำเป็น
พัฒนาการเด็กทางอารมณ์ จิตใจ และการส่งเสริม
เด็ก ๆ ที่ใกล้วัย 2 ขวบจะเริ่มมีพัฒนาการที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ซึ่งบางครั้งคุณพ่อคุณแม่จะมองว่าเป็นเด็กดื้อ (Terrible Two) เพราะลูกจะเชื่อฟังเราน้อยลง และมีพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่ท้าทายให้คุณแก้ปัญหาด้วย ซึ่งเหตุผลของความดื้อและเจ้าอารมณ์นั้นมักเกิดจากสาเหตุดังนี้
อยากรู้อยากเห็น - เพราะหนูกำลังเรียนรู้และค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยการลงมือทำ หนูจึงชอบกดปุ่มโทรศัพท์เล่น ดึงหางแมว ใช่ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองหรือเอาแต่ซนซะหน่อย
เรียกร้องความสนใจ - ด้วยความเหงา เบื่อ เซ็ง ที่พอหนูทำตัวดีแล้วทุกคนก็หายไปทำธุระตัวเองกันหมด สู้กินข้าวหก ทำของแตกไม่ได้ คุณแม่เป็นต้องวิ่งปรู๊ดมาดูก่อนใคร ถึงจะมีเสียงดุว่าตามมาก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว
ท้าทาย - ยิ่งตอนหนูอายุ 14-22 เดือน หนูกังวลมากว่าพ่อแม่จะตีจากหนูไป ไม่รักกันเหมือนเคย หนูจึงอยากรู้นักว่าถ้าโดนห้ามก็ยังจะท้าทายทำต่อซะอย่าง แล้วจะมีอะไรหรือเปล่า
ไม่มีเหตุผล - หนูอยากทำเพราะอยากทำ ถึงจะยังทำเองไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดทางร่างกาย และมีคนคอยห้ามโน่นห้ามนี่ น่าจะลองให้หนูทำอะไรเองบ้างนะ ถ้าไม่อันตรายเกินไป
เหนื่อย - วัยอย่างหนูชอบงีบกลางวัน แต่บางครั้งต้องไปนอกบ้านกับคุณแม่ทั้งวัน เลยพาลหงุดหงิดเอาง่าย ๆ
หิว - อารมณ์หิวไม่ปราณีใคร หนูต้องการเติมพลังบ่อยครั้งกว่าผู้ใหญ่ อย่ายึดมื้ออาหารตามแบบผู้ใหญ่ ต้องมีมื้อของว่างให้หนูบ้าง
เข้าใจอีคิวปรับพัฒนาการอารมณ์ลูกน้อย
EQ คือความสามารถของบุคคลในการตระหนักรู้ความคิด ความรู้สึกและภาวะอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น และสามารถนำข้อมูลความรู้เหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการชี้นำความคิด และการกระทำของตนเองได้ โดยความสำเร็จของบุคคลมาจาก IQ เพียงร้อยละ 20 ที่เหลือเป็นเรื่องของอีคิวทั้งสิ้น
สำหรับน้องหนูวัยนี้ที่เริ่มใช้ภาษาและสามารถสื่อสารกับคนใกล้ตัวได้ดีขึ้น จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมที่จะปลูกฝังและพัฒนาอีคิวกันตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะอีคิวเป็น เรื่องจำเป็นที่ช่วยให้ลูกสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พร้อมจะเผชิญและแก้ปัญหา
ดี สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี รู้ความต้องการของตนเอง รวมทั้งเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
เก่ง ความสามารถในการสร้างกำลังใจให้ตนเอง แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมทั้งเก่งในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนนอกครอบครัวได้ด้วย
มีความสุข เด็ก ๆ ควรจะมีอารมณ์ขัน สดชื่น ร่าเริง เห็นคุณค่าและความสำคัญของตนเอง รู้ตัวเองว่ามีความหมายสำหรับพ่อแม่และคนใกล้ชิด
อย่างไรก็ตามลูกวัยนี้ยังมีพัฒนาการด้าน อีคิวจำกัด อย่าเพิ่งรีบร้อนหรือยัดเยียดให้ลูกจนเกินไป เพราะต้องให้เหมาะกับวัยของลูกด้วย
พัฒนาการเด็กทางภาษาและการส่งเสริม
ลูกสามารถใช้คำ 2 คำพูดเชื่อมต่อกันได้แล้ว เข้าใจคำศัพท์ของสิ่งของที่อยู่ใกล้และสามารถหยิบตามที่คุณพ่อคุณแม่บอกได้ถูกต้อง ชี้ไปที่อวัยวะต่าง ๆ พร้อมบอกความต้องการของร่างกายได้ ใช้คำพูดพอ ๆ กับการสื่อสารด้วยท่าทาง ลูกยังไม่ชอบการฟังนิทานเป็นเรื่องหรือการพูดยาว ๆ และจะชอบนิทานภาพเป็นภาพ ๆ ไปเท่านั้น และสนใจฟังเมื่อผู้ใหญ่กำลังอธิบายภาพที่ตนเองชอบ รวมทั้งการเริ่มสนใจรายการสำหรับเด็กในโทรทัศน์
เสริมพัฒนาการเด็กด้านภาษาให้เด็กวัย 2-3 ปี
เป็นแบบอย่างที่ดี - อะไรก็ตามที่พ่อแม่แสดงออกไปเด็ก ๆ ก็เลียนแบบหมด อาทิ พ่อแม่พูดเร็ว ลูกก็พูดเร็ว เพราะฉะนั้นพูดกับลูกช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ สบตาลูก ออกอักขระให้ชัดเจนด้วย
ชวนลูกพูดคุย - คุณพ่อคุณแม่ต้องพูดคุยกับลูกเยอะ ๆ อย่าทิ้งให้ลูกต้องเล่นของเล่นอยู่คนเดียวหรือขลุกอยู่กับพี่เลี้ยง ทั้งวัน เพราะถ้าพี่เลี้ยงบางคนที่พูดไม่ชัด ลูกอาจจะพูดตามสำเนียงของคนที่เขาอยู่ด้วย
อย่าเร่งให้ลูกพูด – พ่อแม่บางคนกลัวว่าลูกจะพูดช้า อย่าไปดุหรือใจร้อน โมโหใส่ลูก เพราะจะทำให้ลูกเครียด เพราะเด็กแต่ละคนการพัฒนาช้าเร็วจะไม่เท่ากัน
อย่ารำคาญ - เวลาที่ลูกกลายเป็นเด็กช่างซัก ให้ตอบทุกคำถาม ตอบแบบง่าย ๆ ไม่ต้องยาว เพราะนี่คือการช่วยฝึกพัฒนาการในเรื่องภาษาให้ลูกได้อีกวิธีหนึ่ง
อย่าต่อว่าเวลาลูกพูดผิด - ให้ช่วยแก้ไขด้วยการพูดให้ลูกฟังซ้ำแบบช้า ๆ ชัด ๆ
อ่านหนังสือนิทาน บทกลอน - เปิดเพลงให้ฟังให้ลูก อ่านนิทาน หรือบทกลอนให้ฟังลูกจะได้เรียนรู้คำใหม่ ๆ หัดจำประโยคที่เขาสนใจ
พัฒนาการเด็กทางสังคมและการส่งเสริม
สังเกตได้ว่าลูกจะชอบอยู่กับสังคมหรือกลุ่มคนมากขึ้น แม้ว่าจะอยากเล่นคนเดียวแต่ก็จะมองหาผู้ใหญ่ด้วยเสมอ จะเลียนแบบการทำงานบ้านหรือบุคลิกของคนใกล้ชิด ชอบเรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่รู้จักได้ด้วย เริ่มแยกแยะว่าสิ่งใดสามารถพึ่งตนเองได้ และสิ่งใดที่ลูกจะต้องพึ่งคนอื่นด้วย
พัฒนาการทางสังคมเป็นเรื่องที่ลูกต้องเรียนรู้ แต่เมื่อลูกกำลังอยู่ในวัยช่างวีนยิ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่อึดอัดใจ เพราะพฤติกรรมบางอย่างของลูกสร้างความน่าขันรวมทั้งความน่าอับอายขึ้นได้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาพฤติกรรมระหว่างการทำความรู้จักโลกภายนอก คุณพ่อคุณแม่ควรจัดการดังนี้
ชอบกรี๊ด
ลูกชอบเรียกร้องความสนใจ และไม่รู้จักควบคุมอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ หรืออาการขัดเคืองใจเหมือนผู้ใหญ่ อีกทั้งลูกไม่รู้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้เมื่อแสดงออกไปแล้วผลตามมาคืออะไร ที่สำคัญเป็นวัยที่อยากทดสอบพลังอำนาจของตัวเอง พร้อมต้องการบอกว่าฉันไม่พอใจแล้วนะ คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มด้วยคำพูดนุ่มนวล ท่าทางที่เป็นสัญญาณให้ลูกรู้ว่าต้องสงบลงก็คือ ท่าจุ๊ปากพร้อมทำเสียง "จุ๊ จุ๊" คราวนี้ถ้าคุณทำท่านี้พร้อมเสียงแบบนี้เมื่อไหร่ลูกก็จะเรียนรู้ว่าต้องลด ความถี่ลงหน่อยแล้ว
เอาหัวโขกพื้น
อาจเกิดจากถูกจำกัดอยู่ในที่แคบ ๆ ไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ขาดความอบอุ่น การโขกศีรษะถือเป็นการกระตุ้นตัวเองวิธีหนึ่ง หรือในเด็กที่มีความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ เช่น ถูกคนดูแลทำร้าย หรือเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่ ก็อาจแสดงพฤติกรรมโขกศีรษะได้ ซึ่งสาเหตุอย่างหลังนี้ต้องดูแลแก้ไขเป็นพิเศษ เพราะกระทบกระเทือนทางจิตใจของลูก คุณพ่อหรือคุณแม่ต้องรีบจับตัวลูกไว้เพื่อหยุดพฤติกรรมนั้น แต่อย่าแสดงอาการตกอกตกใจจนเกินไป จากนั้นเบี่ยงเบนความสนใจเขาไปที่กิจกรรมอื่น ถ้าอาการโขกศีรษะของลูกเป็นไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรงแต่หาสาเหตุไม่เจอ แบบนี้คงไม่มีวิธีไหนดีเท่ากับพาไปปรึกษาแพทย์
ไม่ต้องพูด ไม่อยากฟัง
ลูกจะเริ่มมีอาการหูทวนลม ไม่ฟัง ไม่เชื่อ ลูกกำลังทดสอบคุณพ่อกับคุณแม่ว่าจำกัดขอบเขตแค่ไหน หรือห้ามไปอย่างนั้นเอง ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่แกจะสร้างความเป็นตัวของตัวเองรวมทั้งความเชื่อมั่นด้วย คุณต้องแสดงออกอย่างชัดเจนว่า การห้ามนี้เป็นเรื่องจริงจัง วิธีการที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ห้าม น้ำเสียงต้องเข้มกว่าปกติ ไม่มีท่าทีล้อเล่น "ไม่" ก็คือ "ไม่"
พัฒนาการเด็กทางสมองและการส่งเสริม
พัฒนาการทางสมองของลูกจะเจริญเติบโตเร็วมาก ตอนแรกเกิดนั้นสมองลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 30-40% ของผู้ใหญ่ และเพิ่มเป็น 60% เมื่ออายุ 4 ขวบ จึงถือว่าช่วง 6 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงที่สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วที่สุด
ในวัยซน 1-3 ขวบ ซึ่งถือเป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ ความเฉลียวฉลาด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้สมองเติบโตมีพัฒนาการเต็มศักยภาพ ซึ่งสมองแต่ละส่วนจะมีหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ยังคงทำงานประสานกัน
ซีรีเบลลัม ทำหน้าที่สำคัญในการประมวลการรับรู้ และควบคุมการสั่งการ เพื่อส่งข้อมูลไปยังกล้ามเนื้อเพื่อเคลื่อนไหว ควบคุมและรักษาสมดุลการทรงตัว
พาไรทัลโลบ ดูแลเรื่องประสาทสัมผัสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้รสชาติ การสัมผัส การทำงานประสานกันของมือและตา การใช้มือกำหรือจับสิ่งของ การจดจำสิ่งต่าง ๆ
ออกซิพิทัลโลบ ดูแลพัฒนาการด้านความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำ ความเข้าใจในสิ่งที่มองเห็น แนวคิดและการปฏิบัติ
เทมพอรัลโลบ ดูแลพัฒนาการด้านความรู้สึกเป็นอิสระ เป็นของตัวเอง และดูแลพัฒนาการด้านการพูด การได้ยิน การดมกลิ่น ความจำ อารมณ์โดยเฉพาะความกลัว
ฟรอน ทัลโลบ ดูแลพัฒนาการด้านสังคม โดยทำหน้าที่ควบคุมดูแลระบบการคิด และบางพฤติกรรม เช่น การแก้ปัญหา การวางแผน การรับรู้และการตอบสนอง
วัย 1-2 ปี พัฒนาการเด็กทางร่างกายเชื่อมโยงสมอง
ลูกจะพยายามหัดยืนและเดิน และทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ปีนขึ้นบันไดได้แต่ต้องมีคนช่วย ลงบันไดโดยการคลานถอยหลัง ถ้าเดินลงต้องช่วยจับแขน กระโดดสองขาได้
ชอบลาก ผลัก ดันสิ่งต่าง ๆ ลากเก้าอี้ไปยังชั้นวางของและพยายามปีนป่ายหรือเอื้อมหยิบของ
ต่อบล็อกได้ 3-4 ชิ้น
ชอบวิ่ง ปีนป่าย กระโดดอยู่กับที่
เดินทีละก้าวบนกระดานไม้แผ่นเดียวได้
ขี่จักรยาน 3 ล้อได้
เริ่มถนัดใช้มือข้างใดข้างหนึ่งแล้ว เช่น ร้อยลูกปัดเม็ดใหญ่ ๆ ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก