หวานธรรมชาติรสอร่อยของเบบี๋ (modernmom)
เรื่อง : อมยิ้ม / ภาพ : เอกรัตน์ ศรีพานิชย์
แม้ว่าปัญหาโรคอ้วนของเด็ก ๆ ในบ้านเราจะกลายเป็นเรื่องที่แม่ ๆ หลายคนเป็นกังวลกันมาก ยิ่งเมื่อรู้ว่า สาเหตุหนึ่งของโรคนี้มาจากพฤติกรรมติดหวานตั้งแต่เด็ก ทำให้แม่ ๆ ระวังเวลาจะเลือกสรรของกินให้เจ้าตัวเล็ก การเลี่ยงพฤติกรรมติดหวานของลูกทำได้ไม่ยากค่ะ เพียงแค่เลือกใช้แหล่งความหวานจากธรรมชาติ และให้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็ช่วยลดการติดหวานได้แล้ว
เบบี๋รับรสหวานได้เมื่อไหร่นะ
รสหวานเป็นรสที่เกิดจากสารเคมีหลายชนิด เช่น กรดอะมิโน แอลกอฮอล์ น้ำตาล น้ำผึ้ง ข้าว แป้ง ฯลฯ เจ้าตัวน้อยได้ลิ้มรสหวานครั้งแรกจากการกลืนน้ำคร่ำในท้องคุณแม่ ซึ่งมีกลูโคส ฟรุกโตส กรดแลกติก เป็นส่วนประกอบหลักเมื่ออายุ 12 สัปดาห์ เป็นการกระตุ้นตุ่มรับรสของทารกในครรภ์ โดยตุ่มรับรสหวานจะอยู่ส่วนหน้าของลิ้น เบบี๋สามารถรับรู้รสต่าง ๆ ได้ไวมาก โดยเฉพระรสหวานนั่นเอง
รสหวานจำเป็นกับเบบี๋ไหม
รสหวานจำเป็นต่อเด็ก ๆ เพราะให้ทั้งพลังงานและโปรตีน เนื่องจากกลูโคส ฟรุกโตส เป็นสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนความหวานจากกรดอะมิโนก็ให้โปรตีนซึ่งช่วยในการเจริญเติบโต แม้รสหวานจะมีความสำคัญกับเบบี๋ แต่ควรคำนึงถึงปริมาณ และชนิดของวัตถุดิบให้ความหวานที่จะนำมาปรุงเป็นเมนูโปรดของลูก ความหวานตามธรรมชาติมีให้เลือกสรรมากมายในผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเด็ก เพราะให้ใยอาหาร วิตามิน เกลือแร่ ทำให้ลูกเติบโตสมวัย
ทำไมเด็ก ๆ มักติดรสหวาน
เบบี๋มักเรียนรู้จากพฤติกรรมซ้ำ ๆ และจะทำต่อเนื่อง เมื่อสิ่งนั้นทำให้พอใจ การรับรสหวานอย่างต่อเนื่องทำให้เบบี๋พอใจจนติดรสหวาน และเมื่อกินมากขึ้น ทำให้โอกาสที่เด็กจะยอมรับอาหารเริ่มที่ไม่หวาน หรือรสชาติที่ต่างออกไปน้อยลง ผลเสียที่ตามมาคือ เด็กจะกลายเป็นโรคอ้วน ฟันผุ ไม่ยอมเคี้ยว ชอบอมข้าว เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรรู้เท่าทันความหวาน และไม่หยิบยื่นความหวานจากวัตถุดิบสังเคราะห์อย่างน้ำตาลทราย น้ำหวาน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงคู่ เมื่อสัมผัสกับลิ้นแล้วผสมกับน้ำลายจะให้กลูโคส ซึ่งเด็กจะรับรู้รสหวานเร็วและดูดซึมง่าย
แหล่งความหวานจากธรรมชาติ
คุณแม่สามารรถเลือกวัตถุดิบ ที่ให้รสหวานจากธรรมชาติที่เหมาะสำหรับเด็กวัยขวบแรกได้หลากหลาย จากอาหารหลัก 5 หมู่ ทำให้ลูกน้อยได้เรียนรู้การกินอาหารที่นอกเหนือจากนมแม่ ด้วยวิธีการปรุงอาหารด้วยการต้ม ตุ๋น เคี่ยว นึ่ง
หมู่ที่ 1 ข้าว ธัญพืช เช่น ข้าวกล้องงอก ข้าวซ้อมมือ ถั่วเขียว ถั่วแดง ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด มันเทศ มันฝรั่ง ฯลฯ รสหวานจากกลุ่มนี้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากเม็ดแป้งที่สะสมอยู่ เมื่อนำมาต้มจนเปื่อยหรือตุ๋นจะได้แป้งที่แตกตัว ทำให้ย่อยง่าย ให้วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และวิตามินอีจากจมูกข้าว
หมู่ที่ 2 เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น อกไก่ สันในหมู ปลาน้ำจืด ปลาทะเล กุ้ง ปลาหมึก ฯลฯ รสหวานจากเนื้อสัตว์ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะกรดกลูตามิก
หมู่ที่ 3 ผักหลากชนิด เช่น ฟักทอง แครอต มันแกว แห้ว ยอดข้าวโพด ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักบุ้ง ผักกาดขาว หัวผักกาด ฟักเขียว ฯลฯ เป็นกลุ่มผักให้ความหวานจากคาร์โบไฮเดรตและเกลือแร่
หมู่ที่ 4 ผลไม้ เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ มะม่วง แตงโม แคนตาลูป ขนุน เงาะ ฯลฯ ความหวานของผลไม้เหล่านี้ให้คาร์โบไฮเดรตเชิงคู่จากฟรุกโตส มอลโตส และซูโครส
หมู่ที่ 5 ไขมัน เช่น ถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งา เนื้อมะพร้าว ฯลฯ ซึ่งให้น้ำมัน และมีความหวานจากคาร์โบไฮเดรต
คุณแม่บางคนสงสัยว่า "รสหวานจากธรรมชาติจะทำให้เด็กติดรสหวานได้หรือเปล่า" แหล่งความหวานจากธรรมชาติจำพวกธัญพืช ผัก ผลไม้ นอกจากจะให้รสหวานแล้ว ยังให้เส้นใยอาหาร ทำให้ลูกรู้สึกอิ่ม โดยธรรมชาติเมื่อเด็กอิ่มจะไม่กินอาหารอย่างอื่น ดังนั้น ความหวานจากพืชผัก จึงไม่ทำให้เด็กติดรสหวาน แต่ควรระวังผลไม้รสหวาน มีข้อสังเกตว่าผลไม้มีความหวานไม่เหมือนกัน คือ หวานมาก หวานปานกลาง และหวานน้อย เด็ก ๆ มักชอบผลไม้ที่มีรสหวานมาก เช่น กล้วย มะม่วงสุก มะละกอสุก องุ่น ดังนั้นคุณแม่ควรจัดสมดุล และสัดส่วนอาหารผักและผลไม้ให้พอเหมาะกับลูก ก็สามารถช่วยให้ไม่ติดผลไม้รสหวานอย่างเดียว เช่น ลูกชอบมะม่วง มะละกอ ก็จัดให้ปริมารมากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับฝรั่งหรือชมพู่ บางครั้งการให้ผลไม้ทีหลัง จะทำให้เด็กได้รับอาหารในปริมาณที่เหมาะสม
นอกจากนี้ความหวานจากธรรมชาติที่ได้สัดส่วนพอเหมาะ ต่อความต้องการของลูกน้อย ยังสามารถควบคุมน้ำหนักลูกได้ดี ป้องกันไม่ให้หนูน้อยเป็นโรคอ้วนในอนาคตลดภาวะไขมันในเลือด ป้องกันและควบคุมเบาหวานได้ แถมยังช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดี อาจช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
รสหวานไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่มีผลต่อสุขภาพร่างกายและพัฒนาการด้านอื่น ๆ ของเจ้าตัวเล็กอีกด้วย นอกจากเลือกแหล่งความหวานจากธรรมชาติให้ลูกแล้ว ความเหมาะสมของปริมาณก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่าลืม ใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษด้วยนะคะ
เมนูรสหวานจากธรรมชาติ
ซุปข้าวกล้อง
6-8 month
เครื่องปรุง
ปลายข้าวกล้อง ¼ ถ้วยตวง
ฟักทองหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม ¼ ถ้วยตวง
ผักกาดขาว 1 ใบตัดเป็น 4 ท่อน
น้ำเปล่า 2 ถ้วย
วิธีทำ
ซาวปลายข้าวกล้องใส่ในหม้อตุ๋น ใส่ฟักทอง ผักกาดขาวเติมน้ำ ปิดฝาตุ๋นข้าวประมาณ 1-2 ชั่วโมง หมั่นคนเพื่อไม่ให้ข้าวไหม้ติดก้นหม้อ เมื่อข้าวเปื่อยดีแบ่งตักป้อนหนูน้อย
TIP :
เมนูนี้ให้ความหวานธรรมชาติจากข้าว ฟักทอง ผักกาดขาว เหมาะสำหรับให้ลูกน้อยในมื้อแรก เพราะย่อยง่าย สำหรับมื้อที่สองคุณแม่ผสมไข่แดงต้ม ¼ ลูก เพิ่มคุณค่าโปรตีน ผักกาดขาวตุ๋น เพื่อให้ความหวาน หรืออาจใส่แครอตร่วมด้วย เมื่อเด็กกินได้ดีขึ้น สามารถตักผักที่ตุ๋นยีผสมในซุป 1-2 ช้อนชา สร้างความคุ้นเคยในการกินเส้นใยอาหาร นอกจากนี้การใช้เครื่องปรุงไม่กี่อย่าง ทำให้ง่ายต่อการสังเกตเรื่องการแพ้อาหารได้ด้วย
มันบดซอสถั่วลันเตา
8-10 Month
เครื่องปรุง
มันฝรั่งต้มบด 1/3 ถ้วย
แครอตนึ่งหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ช้อนโต๊ะ
ไก่สับ 2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลันเตากระป๋องยีด้วยส้อมพอหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับ 1 ช้อนชา
น้ำต้มกระดูก 1 ถ้วย
วิธีทำ
1.รวนไก่สับ หอมใหญ่กับน้ำมันถั่วเหลืองด้วยไฟอ่อนพอสุกใส่มันบดคลุกให้เข้ากัน ใช้ช้อนเล็กตักแบ่งเป็นคำเล็ก ๆ เรียงใส่ถ้วย
2.ต้มแครอต ถั่วลันเตากับน้ำต้มกระดูกด้วยไฟอ่อน ละลายแป้งข้าวเจ้ากวนใส่ซุปถั่วลันเตา เคี่ยวด้วยไฟอ่อนให้เปื่อย ตักราดมันบด
TIP :
เมื่อลูกกินได้ดีขึ้นสามารถเพิ่มผักกาดขาวหั่นฝอยดอกกะหล่ำหั่นเล็ก ๆ ใส่ลงเคี่ยวในซอสถั่ว ช่วยเพิ่มใยอาหารรสหวานจากผักและยังสามารถใส่รวมกับน้ำต้มกระดูก ต้มเคี่ยวกรองเอาน้ำสต๊อกเพื่อนำมาปรุงซุปได้อีกด้วย
ขนมปังกรอบซอสอโวคาโด
10-12 Month
เครื่องปรุง
ขนมปัง 1 แผ่น
ฟักทองนึ่ง ¼ ถ้วย
อโวคาโด ¼ ถ้วย
ไข่แดงต้ม ½ ฟอง
อกไก่รวนสุก 30 กรัม
มะม่วงสุก ¼ ถ้วย
วิธีทำ
1.ขนมปังหั่นเป็นแท่งยาวเรียงใส่จานอบในเตาไมโครเวฟ 2 นาที กลับด้านขนมปังแล้วอบต่อ 2 นาที พักไว้
2.บดฟักทองนึ่ง อกไก่รวน ไข่แดงรวมกันในเตาไมโครเวฟ 1 นาที
3.ยีมะม่วงสุก อโวคาโดด้วยส้อม จนเนื้อเนียนเข้ากันเสิร์ฟกับขนมปังอบกรอบ
TIP :
วัย 10-12 เดือน หนูน้อยเริ่มหยิบของ โดยกำทั้งมือขนมปังกรอบ ช่วยทำให้เจ้าหนูเพลิดเพลินกับการเรียนรู้รสชาติอาหาร ที่แปลกใหม่ได้ดี เมนูนี้อโวคาโดและมะม่วงเป็นผลไม้สด แนะนำให้ทำแล้วเสิร์ฟเลย ไม่เก็บแช่ค้างไว้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Vol.16 No.189 กรกฎาคม 2554