


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร
แพทย์เสนอแก้กฎหมายอุ้มบุญในไทย หวังควบคุมการอุ้มบุญที่ไร้ขอบเขต รับซื้อน้ำเชื้อ-ไข่เถื่อน แก้ปัญหาเอเย่นต์หลอกหญิงต่างด้าวเข้ามาอุ้มท้อง พร้อมแก้กฎหมายให้เจ้าของพันธุกรรมเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
สืบเนื่องจากกรณีที่สามีภรรยาชาวออสเตรเลียคู่หนึ่งได้ว่าจ้างให้ นางภัทมล จันทร์บัว อายุ 21 ปี อุ้มบุญ แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็ไม่ได้รับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากเด็กคลอดออกมาเป็นดาวน์ซินโดรม ทำให้ นางภัทมล ต้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้มียอดเงินบริจาคช่วยเหลือแล้วกว่า 3 ล้านบาทนั้น
ประเด็นเรื่องการอุ้มบุญดังกล่าวได้ถูกหยิบยกมาแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2557 รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า นายแพทย์กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลว่า แต่ละปีมีเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ประมาณ 6,000 คน เฉพาะในสถานบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และจะอนุญาตให้อุ้มบุญได้ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และต้องมีการรับรองจากแพทย์ว่าไม่สามารถมีบุตรได้เอง หรือมีบุตรยาก
นอกจากนี้ ผู้ที่จะมาอุ้มบุญต้องเป็นญาติพี่น้องของสามีหรือภรรยาเท่านั้น โดยต้องไม่เป็นในเชิงพาณิชย์ และต้องทำโดยแพทย์ ขณะนี้มีสถานพยาบาลที่ถูกต้องในการรับรองแค่ 48 แห่ง แต่มีหลายแห่งเปิดบริการคลินิกอุ้มบุญอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งมีรายชื่อแล้ว 12 แห่ง โดยคลินิกเหล่านี้มักโฆษณาให้หญิงสาววัยรุ่นมาขายไข่
นายแพทย์กำธร จึงมองว่าหากแก้กฎหมายเรื่องการอุ้มบุญได้จะมีข้อดีมาก คือ เอเย่นต์เหล่านี้จะได้หมดไป เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติจะได้สามารถเข้ามาในสถานพยาบาลที่ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้อง ซึ่งควรจะแก้กฎหมายเรื่องผู้รับอุ้มบุญจะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติก็ได้ และเป็นการลดการขนหญิงต่างด้าวเข้ามาลักลอบรับจ้างอุ้มบุญ เพราะที่ผ่านมาเคยมีชาวไต้หวันมาตั้งบริษัทรับอุ้มบุญแล้วบังคับสาวเวียดนามให้มาอุ้มบุญดังข่าวที่เคยออกมาก่อนหน้านี้
ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ระบุอีกว่า กฎหมายใหม่ที่จะออกมาต้องห้ามประโคม ประกาศโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการค้า ห้ามนำเข้า-ส่งออกน้ำเชื้อและไข่ เพราะตอนนี้ไม่มีกฎหมาย จึงมีการลักลอบขายน้ำเชื้อและไข่กันเอิกเกริก ถึงขนาดที่ว่ามีแคตตาล็อกรูปร่างหน้าตาเจ้าของน้ำเชื้อและไข่ให้เลือก จึงต้องแก้กฎหมาย
นอกจากนี้ คุณหมอยังเสนอให้แก้กฎหมายว่าเมื่อเด็กคลอดออกมา อนุญาตให้ใช้ชื่อของพ่อแม่เจ้าของพันธุกรรมได้เลย ไม่ต้องใช้ชื่อผู้ที่อุ้มบุญเป็นแม่ เพราะในทางการแพทย์ผู้ที่อุ้มบุญคือผู้ที่ให้เช่ามดลูกเท่านั้น ไม่ใช่แม่ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ถึงจะแก้กฎหมายนี้ก็ไม่ควรอนุญาตให้ชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือสาวโสดที่ต้องการมีลูกแต่ไม่อยากมีสามีทำการอุ้มบุญได้ เพราะเด็กจะขาดพ่อหรือแม่ จึงควรอนุญาตให้คู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องและอยากมีบุตรจริง ๆ เท่านั้น เพื่อเป็นการคำนึงถึงเด็กที่จะเกิดมาด้วย
ขณะที่ พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า ทางแพทยสภาฯ และราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ควรตีกรอบเรื่องกฎหมายการอุ้มบุญ เพราะอย่างกรณีที่เกิดขึ้น เด็กคลอดออกมาพิการ ในกฎหมายพ่อแม่ต้องรับผิดชอบเด็ก แต่ปัจจุบันพ่อแม่มักปฏิเสธไม่รับเลี้ยง ส่วนผู้อุ้มบุญก็ไม่มีทุนทรัพย์เลี้ยงเด็ก ทางเอเย่นต์ต้องแก้ปัญหาโดยปล่อยให้ทารกอุ้มบุญตายไปหลายสิบรายแล้ว ทำให้เป็นปัญหาต่อภาพพจน์ประเทศไทย เพราะเราไม่มีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้