รับมือ 4 อาการป่วยของเบบี๋

แม่และเด็ก

รับมือ 4 อาการป่วยของเบบี๋
(modernmom)
โดย: นภัส

         แม้อาการเป็นไข้ ไอ อาเจียน เป็นอาการเล็ก ๆ แต่สำหรับทารกเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลแต่เนิ่น ๆ ไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้เนิ่นนาน ส่วนจะดูแลอย่างไรให้ถูกวิธี Modern Mom มีวิธีการดูแลอาการเบื้องต้นมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

ไข้ -ตัวร้อน

         ไข้คือการที่อุณหภูมิร่างกายสูงมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ถ้าลูกมีอุณหภูมิมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ถือว่าไข้สูง ซึ่งอาจทำให้เกิดชักได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก ส่วนอุณหภูมิระหว่าง 37.5-38.5 องศาเซลเซียส ยังเป็นไข้ต่ำ คุณแม่ควรใช้ปรอทวัดไข้ เพื่อประเมินความรุนแรงของไข้ ไม่ควรใช้เพียงมือสัมผัสเพื่อบอกว่าตัวรุม ๆ หรือตัวร้อนจัดเท่านั้น ยิ่งในเด็กเล็กวัย 3 เดือน – 2 ปี เป็นวัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ

         การดูแล : เมื่อลูกตัวร้อน มีไข้ คุณพ่อคุณแม่ควรเช็ดตัวเป็นหลักและให้ยาลดไข้เสริม

            เช็ดตัวลดไข้ : ควรเช็ดตัวให้ลูกในเบื้องต้น (ดูได้ที่ล้อมกรอบ) และควรวัดไข้ก่อนและหลังเช็ดตัวทุกครั้ง เพราะหลังเช็ดตัวอุณหภูมิควรลดลงประมาณ 1 องศาเซลเซียส แต่หากไข้ยังสูงก็ควรเช็ดตัวซ้ำค่ะ

           ให้ยา : สำหรับการใช้ยาลดไข้ในเด็กวัยแรกเกิด–6 เดือนนั้น ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง หากต้องให้ก็ควรเป็นพาราเซตามอลที่ถือเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูงในเด็ก ที่จะมีทั้งยาแบบหยดสำหรับเด็กเล็ก (ขนาด 1 ช้อนชาหรือ 5 ซีซีต่อน้ำหนักตัว 10 กก.) และแบบน้ำเชื่อมสำหรับเด็กโต (ขนาด 1 ช้อนชาต่อน้ำหนักตัว 20 กก.) ควรให้ทุก 4-6 ชม. เวลามีไข้

ชัก

         อาการชักมักจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีไข้ตัวร้อนสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส และมักเกิดในช่วงวันแรกหรือวันที่ 2 ของการมีไข้ เด็กจะมีอาการเกร็งทั้งตัว ตาเหลือก กัดฟันและลิ้น แล้วตามด้วยการกระตุกของแขนและขาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1–3 นาที โดยอาจมีอาการน้ำลายฟูมปาก หรือริมฝีปากและปลายมือปลายเท้ามีสีคล้ำเขียวได้ในรายที่ชักเป็นเวลานาน หลังจากหยุดชักแล้วเด็กมักจะหลับ หรือมีอาการสะลึมสะลือไปชั่วครู่

         การดูแล : คุณพ่อคุณแม่ควรตั้งสติ อย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และรีบปฐมพยาบาลลูก

         1.จับลูกนอนหงาย และตะแคงศีรษะลูกไปด้านข้าง ให้อยู่ในระดับต่ำเล็กน้อย เพื่อให้น้ำลาย เสมหะ หรือเศษอาหารไหลออกมาได้สะดวก ป้องกันไม่ให้สำลักไปอุดตันในหลอดลม

         2.ถอดหรือคลายเสื้อผ้า รวมถึงผ้าห่มที่อาจทำให้ลูกอึดอัดออก

         3.ระวังอย่าให้ลูกกัดลิ้นตัวเอง โดยการสอดด้ามช้อนที่หุ้มด้วยผ้านุ่ม ๆ เข้าในช่องปาก แต่ถ้าลูกกำลังเกร็งและกัดฟัน ก็อย่างัดปากลูกในทันที จะทำให้เกิดอันตรายหรือบาดเจ็บได้

         4. ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุ่น โปะไว้ตามข้อพับแขนขา และเช็ดตัวลูก (ดูวิธีเช็ดตัวได้ที่ล้อมกรอบ)

         5.เมื่ออาการสงบแล้ว ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ที่ใกล้ที่สุด

         ขณะที่ลูกชัก ไม่ควรเขย่าหรือตีเพื่อให้ลูกรู้สึกตัวจะทำให้ลูกชักมากขึ้น รวมถึงห้ามป้อนอะไรให้ลูกเด็ดขาด แม้กระทั่งยาลดไข้ เพราะทำให้สำลักได้

เช็ดตัวลูก

         1. ถอดเสื้อผ้าของลูกออก แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดให้หมาด ๆ เพราะน้ำอุ่นช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ความร้อนระบายออกได้ดี

         2. เริ่มเช็ดตัวลูก โดยเช็ดแบบย้อนรูขุมขน เพื่อเป็นการเปิดช่องทางให้ผิวหนังได้ระบายความร้อนออกมา

         3. เริ่มเช็ดตั้งแต่ส่วนบนคือ ใบหน้า ลำคอ แขน ลำตัวและขา โดยเฉพาะตามข้อพับ เช่น ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ เพราะเป็นบริเวณที่อุณหภูมิจะสูงกว่าส่วนอื่น

         4. หลังเช็ดตัวเสร็จและตัวลูกแห้งดีแล้วให้สวมเสื้อผ้า แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำบิดหมาด วางบนหน้าผาก รักแร้ และซอกคอ เพื่อช่วยคลายความร้อน

อาเจียน

         อาเจียนเป็นอาการที่จะพบบ่อยในเด็กป่วย ซึ่งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการถ่ายเหลว ปวดท้อง และไข้ อาการอาเจียนมักทุเลาลงหรือหายไปได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตลักษณะที่ลูกอาเจียนออกมา ว่าเป็นเศษอาหาร เสมหะ สีอะไร อาเจียนแบบพุ่งหรือไม่พุ่ง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วยไหม เนื่องจากจะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้

         อาเจียนอยู่เรื่อย : กินอะไรก็อาเจียนหมด และกินน้ำไม่ได้เลย เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ

         อาเจียนและมีไข้ : อาจเป็นการติดเชื้อทางเดินอาหารส่วนบน

         อาเจียน มีไข้ และท้องเสีย : แสดงว่าติดเชื้อที่ระบบทางเดินอาหาร

         อาเจียนพุ่ง : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับสมอง

         อาเจียนมีสีเขียว(อาจเป็นน้ำดี) หรือสีแดง(อาจเป็นเลือด) ออกมาด้วย : อาจจะเป็นอาการ อุดตันของปลายกระเพาะ หรืออุดตันของลำไส้

         การดูแล : หากลูกอาเจียนหนัก กินไม่ได้ อาเจียนพุ่ง มีเลือดออกมา รวมถึงมีอาการอื่นร่วมด้วยก็ควรรีบพาไปพบคุณหมอค่ะ แต่หากลูกยังพอเล่นได้ กินอาหารได้ ก็สามารถเฝ้าดูแลอาการที่บ้านได้ดังนี้ค่ะ

          เริ่มต้นด้วยการจิบน้ำเกลือแร่ทีละน้อย ถ้ามีไข้ก็เช็ดตัว กินยาลดไข้ แต่ถ้าเด็กเล็กยังจิบน้ำเกลือไม่ได้ ซึม อ่อนแรงลง ยิ่งถ้าอาเจียน ก็ควรต้องพาไปพบหมอให้ตรวจดู

         ถ้าเอาเจียนไม่มาก ในเด็กที่กินอาหารเสริมได้ก็เริ่มตามวัย เริ่มอาหารอ่อน ๆ กินข้าวต้ม น้ำข้าว โจ๊ก จะช่วยชดเชยอาการขาดน้ำได้ อาจจะใส่เกลือหรือน้ำปลาหน่อย เพิ่มโปรตีน โดยการฉีกไก่ใส่ หรือไข่เจียว หมูหยอง ปลาทูทอดอีกนิดก็ได้ ที่สำคัญก็ต้องกินทีละน้อยแต่บ่อย ๆ

ไอ

         อาการไอเป็นกลไกของการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ซึ่งอาการไอพบได้บ่อยในเด็กเล็กช่วง 4 เดือน – 2 ปี เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ได้จากแม่เริ่มหมดลง เลยมีโอกาสรับเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น หากมีอาการไอติดต่อมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ก็อาจจะเป็นการไอเรื้อรังได้ ซึ่งก็ต้องพาไปพบคุณหมอค่ะ

         การดูแล : ในเด็กช่วงขวบปีแรก เบื้องต้นยังไม่ควรให้ยาแก้ไอ แต่ให้ลูกดื่มน้ำเยอะ ๆ และบ่อยครั้ง เพื่อให้เสมหะไม่เหนียว แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นจะทำให้ชุ่มคอและไม่ระคายเคือง ถ้าลูกไอแล้วสำรอกเสมหะออกมาก็จะดีขึ้น และต้องให้พักผ่อนให้เพียงพอด้วยค่ะ

         นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ก็อาจต้องคอยสังเกตอาการของลูกในรายละเอียด เมื่อต้องไปหาคุณหมอ จะได้มีข้อมูลให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยได้ถูกต้องค่ะ


     


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รับมือ 4 อาการป่วยของเบบี๋ อัปเดตล่าสุด 5 เมษายน 2555 เวลา 15:37:26 96,508 อ่าน
TOP
x close