เต๋า สมชาย...ในมุมที่หลายคนคาดไม่ถึง

 เต๋า สมชาย เข็มกลัด

 เต๋า สมชาย เข็มกลัด

 เต๋า สมชาย เข็มกลัด

 เต๋า สมชาย เข็มกลัด

 เต๋า สมชาย เข็มกลัด

เต๋า สมชาย...ในมุมที่หลายคนคาดไม่ถึง
(M&C แม่และเด็ก)
เรื่อง : น้อง ณ เรวดี ภาพ : พี่ไม้

          เมื่อพูดถึง เต๋า สมชาย เข็มกลัด หลายคนนึกถึงดาราชายที่มีผลงานเพลงและการแสดงที่หลากหลาย และมักจะเป็นข่าวมีเรื่องมีราวจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นเขาในมุมอบอุ่นของความเป็นพ่อ ที่เลี้ยงลูกเองในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ลูกคนแรกจนวันนี้ เขากลายเป็นคุณพ่อลูกสองไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกเราทีมงาน M&C แม่และเด็กได้รู้ว่าเต๋าพาครอบครัวไปพักผ่อนกันที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงไม่รอช้า ขอเวลาคุณพ่อพร้อมลูกชายสมาชิกใหม่คนล่าสุดของครอบครัว ร่วมกันถ่ายแฟชั่นเก็บภาพสวย ๆ มาฝากผู้อ่านพร้อม ๆ กับนั่งฟังเรื่องราวกว่าจะมาเป็นเต๋า หัวโจก ของ สมชาย เข็มกลัด ในมุมที่หลายคนคาดไม่ถึง

          ในวัยเด็ก เต๋ามีเพียงคุณพ่อที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเขาอายุได้ 4 ขวบ หลังจากนั้นพ่อก็ทิ้งให้เต๋าอยู่กับย่า แล้วก็จากไป ในตอนนั้นหัวใจของเด็กคนนี้แทบแตกสลาย เพราะถูกพ่อทิ้ง ร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุดก็รู้ตัวว่าไม่มีประโยชน์อะไร จึงเลิกร้องแล้วเริ่มปรับตัวรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

หัวใจสลาย...เมื่อพ่อเดินจากไป

          ผมใช้ชีวิตอยู่กับพ่อมาตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นหน้าพ่อมาตลอด พ่อย้ายไปทำงานที่ไหนก็ไปด้วยทุกครั้ง แล้วที่ผมชื่อเต๋า เพราะว่าพ่อชอบเล่นไฮโล ย่าก็เลยให้ผมชื่อว่าลูกเต๋า ย่าดีกับผมมากครับ ย่าจะรู้ว่าเราชอบกินกระเพาะปลา ทุกครั้งที่ออกไปตลาด ย่าก็จะมีของติดมือมาให้ พอย่าจะกลับมา เราก็จะลุ้นว่าจะได้อะไร อย่างน้อย ๆ ก็จะได้น้ำตาลสด คือถ้าพ่อบอกว่าจะไปหาย่า ผมก็จะดีใจมาก คือตอนนั้นรู้สึกว่าเวลาพ่อพามาเจอย่าก็เหมือนมาเที่ยว แต่ครั้งนั้นไม่คิดว่าพ่อจะทิ้ง ผมก็ทำใจไม่ได้ วันที่ต้องมาอยู่กับย่า คือตอนนั้นมันเหมือนถูกทอดทิ้ง เหมือนโลกใบนี้มันแตกแล้ว คือเราอยู่กับเค้ามาทุกวันตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ร้องทุกวัน จนคุณอาเค้าต้องจับขังไว้ในห้อง จนประมาณ 4-5 วัน ผมก็เลิกร้องเพราะไม่รู้ว่าจะร้องทำไมอีก

          "ตอนนี้ผมว่าไม่มีอะไรมาชนะผมได้ ทุกวันนี้ผมได้สิ่งวิเศษที่สุด ดีที่สุดแล้วครับ"

          ...ผมอยู่กับคุณย่าแล้วก็คุณป้า แล้วก็จะมีพี่น้องพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ รวมผมด้วยเป็น 5 คน ผมเป็นน้องคนเล็ก ผมเริ่มเรียน ป. 1 ที่โรงเรียนท่าเรือวิทยา ซึ่งอยู่ติดสนามฟุตบอลท่าเรือ เราก็ไปเตะบอลทุกวัน คือตอนเด็ก ๆ เราก็ไปวิ่งเตาะแตะ ๆ พอโตขึ้นเราก็เตะบอลตอน 7 ขวบ แต่เป็นตัวแถมมาตลอด คือเพื่อนก็ไม่เอา เหมือนเล่นไม่เก่ง แล้วตัวเล็กมาก แต่ผมก็ไม่น้อยใจนะ เป็นตัวแถมก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้เล่น มีอยู่ครั้งนึงประมาณ ป. 5-6 มีงานกีฬาสี ผมก็ขอเล่นฟุตบอล เค้าก็ไม่ให้เล่น แต่ให้เราไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทน ให้เราใส่กระโปรงที่ทำจากเชือกแล้วก็ถือพู่ 2 อัน ก็โอเคนะ ได้ย่ำอยู่ในสนามฟุตบอลก็เอา แล้วก็บอกกับตัวเองว่า วันนึงผมจะเล่นบอลให้ดีให้ได้

หาเงินใช้ตั้งแต่อายุ 12

          ผมเริ่มทำงานหาเงินเองตั้งแต่ตอนอายุ 12 งานแรกที่ไปทำคือการไปขายโอโอเลี้ยงกับคุณพ่อที่สถานีรถไฟช่วงปิดเทอม มันสุด ๆ ครับ ไปกับเพื่อน 4 คน คนนึงขายโอเลี้ยงกับผม อีกคนขายซาลาเปา อีกคนขายไข่ต้ม แล้วพ่อบอกว่าจะให้เปอร์เซ็นต์ผม ให้ขายถุงละ 3 บาท ผมจะได้ 50 สตางค์ ก็เทินหัวขายอยู่ 1 เดือน แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ คนใช้รถไฟเยอะมาก ผมก็เลยปรับราคาเอง ไม่ได้บอกพ่อนะ ก็ขาย 5 บาท แล้วก็แบ่งคุณพ่อเท่าเดิม ขายเสร็จผมได้เงินทั้งหมด 2,500 บาท ก็เก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมแล้วก็ซื้อเสื้อผ้า เพราะผมเบื่อการที่ต้องใส่เสื้อเก่าของพี่ชายมาก ก็เลยต้องหาเงินครับ

          ...งานที่ 2 ก็เริ่มตอนจบ ม. 2 ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงที่พ่อเป็นโฟร์แมน ทำสนามเทนนิส เค้าก็ชวนว่าช่วงปิดเทอมเค้าจะทำสนามเทนนิสที่เชียงใหม่ ตอนนั้นคำว่าเชียงใหม่กับเด็กคนนึงอายุ 13 คือมันไกลมากเลยนะ จะไปบอกย่าว่าเดี๋ยวหนูมา มันก็ไม่ได้ ก็เลยบอกว่าไปเมืองกาญจน์ แต่จริง ๆ แล้วผมไปเชียงใหม่ ทำงานก่อสร้างเลยนะ อยู่เพิงสังกะสี ก็เหนื่อยมาก ค่าแรงขั้นต่ำตอนนั้น 80 บาท ต้องเทพื้น ก่อปูน สร้างเสา ทำทุกตำแหน่ง แล้วกลับมาผมมีเงิน 3,000 บาทครับ

ติดทีมชาติ...อีกความภาคภูมิใจ

          วันนึงโรงเรียนท่าเรือวิทยาได้ไปแข่งชิงชนะเลิศฟุตบอลกับเทพศิรินทร์ แล้วตอนนั้นเทพศิรินทร์ชนะ 3-0 โอ้โห! เก่งมาก ผมก็คิดว่าอยากเป็นนักฟุตบอลของเทพศิรินทร์ ก็ไปกับสอบกับเพื่อนอีก 3 คน แต่ผมสอบได้คนเดียว พอเรียนที่เทพศิรินทร์ ผมเป็นคนที่เรียนปานกลาง ผมเลยตัดสินใจว่าต้องเลือกเอาซักอย่าง เพราะถ้าเรียนปานกลางแล้วจะเอาไปทำอะไร สู้เค้าไม่ได้ มันต้องมีอะไรที่ดีซักอย่าง สู้เค้าให้ได้ ผมก็เริ่มคิดเอาดีทางฟุตบอล ตอนนั้นอยู่ ม. 2 ก็ไปคัดทีมชาติไทย คัดไปฮ่องกง 2,000 คนเอา 18 คน ไปคัดอยู่ 4-5 เดือน แล้วเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันที่ฮ่องกงเก็บตัวอีก 2 เดือนแล้วก็ไปแข่งประมาณ 10 วัน ซึ่งมันกลายเป็นความภาคภูมิใจของที่บ้านเพราะว่าที่บอกมาทั้งหมดเนี่ยไม่มีใครส่งเสริม ไม่มีใครสนับสนุน ผมทำของผมเองทั้งนั้น

นักเรียนนายร้อย ...อีกความทรงจำไม่รู้ลืม

          หลังจากที่ผมเป็นนักเรียนไทยไปแข่งที่ฮ่องกงกับอาจารย์หรั่ง (ชาญวิทย์ ผลชีวิน) พอจบม. 4 ผมก็ไปสอบเตรียมทหาร เป็นโควตาช้างเผือก ตอนนั้นที่ไปสอบ เพราะว่าบ้านอยู่คลองเตยแล้วต้องรอรถสาย 47 ไปลงที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งต้องผ่านเตรียมทหารที่อยู่ตรงบ่อนไก่ทุก ๆ วัน แล้วที่บ้านก็จะพูดบ่อยมากกว่านักเรียนนายร้อยเนี่ยเท่มาก ใคร ๆ ก็อยากเข้า ผมก็เอาด้วย อยากให้ที่บ้านมีความภูมิใจ ว่าอยู่เทพศิรินทร์แล้ว ติดทีมชาติแล้ว จะทำอะไรต่อล่ะ ก็เป็นนายร้อยตำรวจสิ

          ...ผมกับเพื่อนที่เทพศิรินทร์ก็ไปกัน 5 คน คือไปในนามของอ.หรั่ง ก็สอบติดหมดเลยทั้ง 5 คน มันก็เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำของตัวเองนะ ว่าพรุ่งนี้เข้าเราต้องไปสอบสัมภาษณ์ แต่ตัวจริงของผมเนี่ย ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเป็นคนรักงานศิลปะ คือชอบมองทุกอย่างสวยงามเป็นศิลปะ แต่เก่งบ้างไม่เก่งบ้างแล้วแต่ พอถึงวันที่ต้องไปสอบสัมภาษณ์ คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้นอนเลยนะ คิดอยู่ว่าพรุ่งนี้จะไปสอบสัมภาษณ์หรือเปล่า คือมันห้าสิบห้าสิบนะ คือใจนึงก็อยากเรียนศิลปะต่อเช้าขึ้นมาก็นั่งรถเมล์ไป คือวันนั้นถ้าผมก้าวลงจากรถ ผมเป็นตำรวจแน่นอนในวันนี้ ยศอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมเลือกที่จะไม่ลง แต่น้ำตาผมไหลนะ คือคนเค้าอยากเข้ากันเยอะแยะ แต่เราไม่เอา อาจารย์หรั่งก็ยังงงอยู่นะว่าทำไมผมไม่ไปสอบ ทุกวันนี้เพื่อนผมเป็นพันโทพันเอกกันหมดแล้ว แต่ถ้าผมเลือกที่จะเป็นข้าราชการ เข้าเรียนเตรียมทหาร วันนี้ผมก็คงไม่ได้เป็นดาราแล้วล่ะ

สมชาย...กับชีวิตที่เลือกเองของ

          หลายคนอาจจะคิดว่าที่ผมทำงานสารพัดมาตั้งแต่เด็ก ผมคงจนมาก ที่จริงแล้วผมไม่ได้ลำบาก เป็นคนพอมีพอกิน แต่เราไม่สามารถจะกินได้ทุกอย่างบนโลกนี้ คือคนอื่นเค้าจะกินแอปเปิ้ล เราก็อาจจะกินมันแกวกิโลละบาท คนอื่นเค้ากินสตรอเบอร์รี่ เราก็อาจจะกินมะยม คือพ่อแม่ผมแยกทางกันไปตั้งแต่เรายังเด็ก แม่ผมก็ไม่เคยได้เจอ เพิ่งมาเจอเค้าจริง ๆ เนี่ย ตอนผมอายุ 24 ปี ผมก็ไม่เคยถามย่านะว่าแม่ผมไปไหน คือผมคิดว่าวันนี้ผมอยู่กับพ่อ ผมก็มีพ่อ วันนึงพ่อหายไปในชีวิต ผมก็อยู่กับย่า ผมก็รักย่ามาก ย่าก็ทดแทนทุกอย่างได้ จริง ๆ บ้านผมไม่ได้ยากจนถึงกับไม่มีอะไรกินนะ แต่ผมมีความสุขที่ได้ทำงานมากกว่าครับ

          ...ผมเรียนที่ท่าเรือกับเทพศิรินทร์ทุกอย่างมันยากหมดเลย เรียนยากมาก จนสุดท้ายผมก็ไปเอาดีทางฟุตบอล ผลการเรียนก็เกรด 2 กว่ามาตลอดนะ มีปีสุดท้ายที่ผมไม่ได้เรียนหนังสือเพราะว่าผมสอบเทียบ ม. 6 ได้ตั้งแต่ ม. 4 เทอม 2 แล้วก็ไปเจอพี่พจน์ ผมก็เริ่มเป็นนายแบบ

สวรรค์ได้ประทานสิ่งที่วิเศษที่สุดให้กับผมแล้ว

          "แจ้งเกิดเพราะพี่พจน์ อานนท์"

          คือวันนั้นผมไปซื้อกระดาษทำรายงานที่มาบุญครอง แล้วผมก็ยืนอยู่หน้าโตคิว พอดีพี่พจน์ขับรถผ่านไป แล้วก็ถอยรถมาเปิดกระจก แล้วก็ส่งนามบัตรให้ถามว่าน้องอยากถ่ายแบบหรือเปล่าลงหนังสือเธอกับฉัน ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ทีนี้พอปิดเทอมใหญ่ก็อยากหาอะไรทำ ก็ไปหาหนังสือเธอกับฉัน ดูหน้าบรรณาธิการคุยกับผู้อ่านก็เห็นรูปพี่พจน์ ก็เลยมั่นใจว่าเค้าไม่ได้โกหก ก็เลยโทรหาพี่พจน์ ถามเค้าว่าพี่ครับจำคนที่พี่ให้นามบัตรได้ไหมครับ เค้าก็บอกว่า อ้าว! ยังมีชีวิตอยู่เหรอ พี่นึกว่าตายไปแล้ว เค้าก็นัดไปให้นั่งรอถ่ายรูป แล้วก็มีเด็กนักเรียนอีกคนมานั่งข้าง ๆ ผม หัวเกรียน ๆ คน ๆ นั้นคือปราโมทย์ แสงศร ผมก็มองหน้านึกในใจว่าหน้าตากวนโอ๊ยมาก นั่นคือครั้งแรกที่ได้เข้าไปเจอพี่พจน์แล้วได้เจอปราโมทย์ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่โมทย์ได้เจอพี่พจน์เหมือนกัน ก็ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ก็ 23 ปีที่เราคบกันมา จนทุกวันนี้เค้าเป็นผู้กำกับไปแล้ว

          ...ตอนแรกผมก็ไม่มีความรู้ด้านการแสดงเลยนะ วันที่ถ่ายแบบครั้งแรกก็โพสตามพี่พจน์ตลอด ก็โดนดุนะ แต่ก็คุ้มนะ หลังจากวันนั้นผมถือเงิน 2,000 บาทแรกมาให้ย่า ผมก็คิด...อะไรวะ ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ ผมเตะบอลอยู่แคมป์ฟุตบอล 2 เดือน ได้เงินเบี้ยเลี้ยง 1,500 บาท น้อยเหลือเกิน ถ้าเราเจ็บตัวขึ้นมา ค่ารักษาพยาบาลยังไม่พอเลย แต่ไปถ่ายแบบแป๊บเดียวเสร็จได้ 2,000 บาท ตอนนั้นเด็กอายุ 15 นะ ผมก็ตัดสินใจหันหลังเลย พอแล้วอาชีพนักกีฬาคงจะต้องเก็บไว้เป็นความสามารถพิเศษ แต่จะใช้เป็นอาชีพหลักคงไม่ได้ เลยพลิกตัวเองเบนเข็มมาเข้าวงการเลยครับ

กลายเป็นเต๋า หัวโจก

          หลังจากนั้นผมก็ได้เล่นละคร กับพี่บอย ถกลเกียรติ เรื่องแรกของผมก็ "นางฟ้าสีรุ้ง" พอเรื่องนี้จบก็มีคำพูดหลากหลายเข้ามา แต่ผมไม่ท้อนะ เพราะว่าคนที่พูดก็ไม่ได้ให้ผมกิน แต่ก็ขอบคุณมากเพราะว่าคำพูดของหลายคนมันทำให้ผมคิดว่า วันนึงผมจะทำให้ดี แล้วผมก็เล่นไปเรื่อย ๆ มันเริ่มพัฒนา จนออกอัลบั้มเต๋า หัวโจก ซึ่งก็มีคนพูดดูถูกมากมาย แค่ผมพูดไม่ชัดคำเดียว แต่โดนด่าอย่างกับขายชาติ หลังจากนั้นผมก็มาเล่นหนังเรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียว ก็ดังเปรี้ยงเลยครับ

          ...คือผมเป็นนายแบบปีเดียว ผมก็ได้เล่นหนัง มีงานโฆษณา ได้เล่นละคร แล้วพออายุ 16 ผมก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องอาร์เอส พออายุ 18 ก็เป็นเต๋า หัวโจก อยู่ในวงการมา 23 ปี หนังก็มี 10 กว่าเรื่อง ละครก็มี 10 กว่าเรื่อง งานเพลงมี 3 อัลบั้ม โฆษณาอีกประมาณ 10 ตัว ชุดที่ขายดีสุดคือ สมชายจดปลายเท้า ขายได้หนึ่งล้านหกแสน แต่ผมไม่เคยจมกับความสำเร็จเดิม ๆ ในเมื่อมันเป็นตำนานในตอนนั้น ก็ให้มันเป็นตำนานต่อไป มันเป็นความทรงจำที่ยิ้มได้ คือชั่วโมงนั้นเป็นของผม

          นับว่าเต๋า-สมชาย มีเรื่องราวที่น่าสนใจตั้งแต่ในวัยเด็ก แทบไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของเขาต้องผ่านอะไรมากมาย ตอนนี้หลายคนคงอยากรู้เรื่องของหัวใจและความน่ารักสดใสในครอบครัวของเขาแล้วล่ะสิ ว่าจะน่าติดตามแค่ไหน เพราะหลังจากที่เลิกรากับภรรยาคนแรกนัท มีเรียไปแล้ว เต๋าพบกับรักครั้งใหม่ ลองมาดูกันว่าระหว่าง เต๋า-สมชาย นักร้องดังกับ ยุ้ย-อัฐมาศ สาวนักการตลาดแห่งนิตยสารดัง จะโคจรมาบรรจบพบรักกันได้อย่างไร

กล้า ๆ หน่อย...วลีเด็ดที่ยอมไม่ได้

          คือก่อนหน้านั้นมีรุ่นพี่คนนึงชื่อพี่ต้น อยู่กลุ่มเดียวกัน เวลาเค้ามีงานอะไร ก็นัดเจอกัน คือเราสองคนเจอกันตลอดแต่ไม่เคยคุยกัน สวนกันไปสวนกันมากว่า 5 ปี แล้ววันนึงก็มีงานคอนเสิร์ต อัสนี-วสันต์ พี่คนนี้เค้าได้บัตรมาก็ชวนยุ้ยไป ผมก็ไปดูกับเพื่อนผม ก็กินเบียร์แล้วก็เดินไปเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจใคร แล้วผมก็เดินไปหารุ่นพี่ผมคนนี้ ก็เจอเค้า ผมก็ถามรุ่นพี่ว่าคนนี้ใคร น่ารักดี จีบได้หรือเปล่า พี่ต้นเค้าก็เดินไปบอกยุ้ยว่า ไอ้เต๋ามันบอกว่ามึงน่ารัก จีบได้เปล่า ยุ้ยก็บอกกลับมาเลยว่า ฝากไปบอกมันเลยว่ากล้า ๆ หน่อย พอพี่ต้นมาบอกผม ผมก็กลัวที่ไหนล่ะ ผมก็เดินเข้าไปหาเค้าเลย อย่างแรกที่ผมทำเนี่ย มันเกินคำว่าจีบ คือผมจับมือแล้วหอมแก้มเลย แล้วผมก็จูงมือเค้าแล้วลากไปหน้าเวที ไปดูคอนเสิร์ตกัน

          ...หลังจากนั้นก็เริ่มคุย เริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้น พอคุย ๆ กันไปได้ 3 เดือน ก็ถามเค้าว่าอยากมีลูกหรือเปล่า เค้าก็ตอบผมอีกกล้า ๆ หน่อย มันก็เป็นความบังเอิญที่เราเจอกันปีฉลู ปีต่อไปคือปีขาล เราก็คิดว่าถ้าคบกันจริง ถ้ามีลูก ก็ได้ลูกเกิดปีขาลแน่นอน คือคนสองเดินทางผ่านกาลเวลามาเจอกัน เกิดปีเสือด้วยกัน แล้วก็คุยว่าอยากมีลูกด้วยกัน ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกัน จดทะเบียนในวันที่ 14 พฤษภาคม ครับ แล้วหลังจากนั้นไม่นานผมก็มีลูกสมใจ ซึ่งผมมีความสุขมากครับ

สมใจของพ่อและแม่

          ช่วงที่ยุ้ยท้องเค้าไม่แพ้เลยนะ ผมก็ดูแลเค้าปกตินะ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ประมาท คือจะหาข้อมูลด้วย แต่หลัก ๆ ผมว่าเชื่อตัวเอง คือมีความมั่นใจในตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนมันจะมีสัญชาตญาณอยู่ในตัว อันดับสองก็คือคนใกล้ตัวกับคนที่เรารัก และอันดับสามคือหมอ แล้วก็หนังสือกับอินเตอร์เน็ต

          ...ลูกผมคลอดที่โรงพยาบาลตำรวจ วันแรกพยาบาลเค้าก็พาลูกมาให้กินนม แล้วเค้าก็ถามว่าเอาไปเลี้ยงเลยไหมคะ ผมก็เอาอีกแล้ว ทำไมคนชอบท้าทายผมอย่างนี้ ผมก็ได้ครับ เลี้ยงเองได้ ไอ้โห! คืนแรกเนี่ยสุดยอดเลยนะ เพราะยุ้ยเค้าผ่าท้องเค้าก็ยังไม่ค่อยรู้ตัวนะ พอพยาบาลเดินออกจากประตู ผมก็นั่งเอามือกุมหัว พระเจ้า ทำยังไงล่ะเนี่ย คือทั้งคืนเนี่ยยุ่งไปหมด กินนมอยู่ก็ร้อง ผมก็กดไปหาพยาบาลเค้าก็ไม่อยู่ที่ห้องอีก ไปไหนก็ไม่รู้ ลูกร้องใจจะขาด เราก็คิดว่าเค้าถ่ายหรือเปล่า เราก็เปิดดู อ๋อ! รู้แล้วว่าทำไม ผมก็เช็ดก้นให้ เค้าสบายตัวขึ้นก็หยุดร้อง

          ...วันที่พยาบาลอุ้มลูกไปอาบน้ำ ผมก็มองตลอดเลยนะ เวลาเช็ดให้ลูก ยกขาเช็ดขึ้นอย่าเช็ดลง ผมก็จะจำตลอด พอวันที่สอง ผมก็ทำเอง ลูกร้องจ๊ากเลย แต่ผมเป็นคนไม่กลัวไง เพราะพยาบาลบอกว่าถ้ายิ่งกลัว เด็กยิ่งตกใจ ผมก็เช็ดอวัยวะต่าง ๆ ของเค้า ก็ท่องตลอด ว่าต้องทำยังไงบ้าง ผมก็พูดไปเรื่อยทุกวัน ตอนที่หนักสุดคือตอนที่ยุ้ยกลับไปทำงาน ผมอยู่บ้านสองคนกับลูก แต่ก็มันดีนะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเลี้ยงเด็กได้สบายเลยล่ะ

          ...ตอนที่สมใจ 3 เดือน ผมก็อยากมีลูกอีกคนนึง เพราะอยากให้สมใจมีเพื่อน ผมก็บอกยุ้ยเลยว่าขออีกคน แล้วใครจะคิดว่ามันได้จริง ๆ ครับ คือพอสมใจได้เดือนที่ 5 ผมก็นั่งอยู่ที่บ้าน ยุ้ยไปซื้อที่ตรวจมาแล้วแอบเดินไปตรวจเอง ซักพักก็กรี๊ดลั่นบ้าน ผมก็ตกใจถามว่าเป็นอะไร นึกว่างูเข้าบ้าน เดินเข้าไปดูก็เห็นว่ามีสองขีด คือสมใจ 5 เดือน เค้าก็มีน้องอยู่ในท้องแล้ว ก็ดีใจกันใหญ่ครับ

พี่สมใจกับน้องสุขใจ

          คือเราก็คุยกันว่าจะตั้งชื่ออะไร อยากได้ชื่อไทย ๆ แล้วลูกคนแรกเนี่ย อยากให้เค้าเกิดมาปีเดียวกันกับพวกเรา แล้วเราก็ได้ เค้าออกมาสมใจปรารถนาของเรา ก็เลยชื่อน้องสมใจ แต่ชื่อจริงผมให้คุณลุงเสรี วงษ์มณฑา ตั้งให้ ชื่อว่า สรรกมล แปลว่า เลือกได้ดั่งใจ ส่วนคนที่สอง เราก็ไปเดินห้างกัน ยุ้ยเค้าก็เจอหนังสือธรรมะ ก็หยิบมา เจอคำว่า สุขใจ ผมก็เอาเลยชื่อนี้แหละ

          ..สไตล์การเลี้ยงลูกของผมเนี่ย ผมปล่อยเลยนะ แต่ปล่อยอย่างเฝ้าดูเฝ้าระวัง อย่างเค้าวิ่งหกล้ม คนอื่นเค้าก็จะวิ่งไปจับ ผมบอกว่าไม่ต้องจับ เค้าก็จะลุกขึ้นมาเองแล้วก็ปัด แล้ววิ่งต่อ คือผมก็ปล่อย อะไรที่มันไม่อันตราย ไม่ได้เสี่ยงมาก แต่ถ้าเสี่ยงผมไม่ปล่อย คือผมคิดว่าล้มแล้วก็ลุก เจ็บเดี๋ยวก็หายเจ็บ คือมีแผลก็ใส่ยา คือทุกคนที่เป็นพ่อแม่ด้วยวิธีการของแต่ละคนมันถูกหมดนะครับ แต่มันเป็นแบบฉบับของแต่ละคน

ลูกสองคน สองสไตล์

          น้องสมใจลูกคนโต เค้าแสดงออกอย่างเต็มที่ คือแสดงออกทางอารมณ์ครับ ผมว่าดีนะ วันนี้เค้าซนมากนะผมคิดว่าแบบนี้ก็ดีนะ เพราะว่าดีกว่าลูกเรานั่งอยู่เฉย ๆ เหม่อ ๆ ทำอะไรก็ไม่ทำ ซนแบบนี้ดีกว่า เราก็ไม่อยากจะบอกว่าอย่าไปโทษลูกมันเลย พ่อมันก็ซน แต่ผมก็มีความสุขที่ลูกผมร่าเริง ส่วนคนที่สอง สุขใจ เค้าอารมณ์ดีมาก แทบจะไม่ร้องเลยนะ เค้าไม่งอแงเลยล่ะ เคาะได้เลยว่าเลี้ยงง่ายกว่าคนแรกมาก นอนเร็ว กินง่าย ทำอะไรเป็นสเต็ปเวลาครับ

          "ผมรู้สึกว่าปลอดภัย ผมไว้ใจ 100% ที่ภรรยาเราดูแลลูกเองครับ"

          ...ถึงเราจะมีลูกสองคนแล้ว แต่ความหวานของเราทั้งคู่ยังคงเหมือนเดิมครับ นี่ยังไม่ได้ฮันนีมูนเลยนะ แต่ตอนที่ลูกหลับเนี่ยเป็นเวลาที่ฮันนีมูนเลย คือเราก็ลงมาดูทีวีกันนะ ปิดไฟ กินไวน์กัน เราจะมีมุมดูหนังฟังเพลง มีมุมสวีทกัน แต่ก็แฮปปี้มาก คือเราชอบอยู่ในบ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน คือเดี๋ยวนี้พอจะออกไปได้บ้างก็ตอนที่ลูกหลับก็รีบ ๆ ออกไปแล้วก็กลับเข้ามา บางทีผมสองคนต้องแอบไปดูหนังตอน 5 ทุ่มนะ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกัน ก็สนุกดีครับ มันไม่ได้มีความรู้สึกยุ่งยากนะ เพราะเราก็อายุไม่น้อยนะ เที่ยวมาก็เยอะแล้ว เดี๋ยวค่อยเที่ยวกันใหม่ ตอนที่ลูกโตเข้าโรงเรียนก็ได้

          หลังจากได้ฟังหลายเรื่องราวลึก ๆ ของผู้ชายคนนี้แล้ว รู้สึกเลยว่า เต๋า-สมชาย เป็นมากกว่าที่หลายคนคิด เขามีหลายมุมที่เราคาดไม่ถึง ก่อนจากกันไปเราเลยขอโอกาสนี้ให้เต๋าเล่าถึงความประทับใจที่มีให้กับภรรยาคนรู้ใจคนนี้

          มีอยู่วันนึงเราเดินกันอยู่สองคน อยู่ดี ๆ ยุ้ยก็ถามผมว่า "ระหว่างชั้นกับลูกเนี่ย เธอรักใครมากกว่ากัน?" บางอย่างมันเข้ามาในสมองแบบไม่ต้องคิด ผมก็มองหน้าเค้า แล้วก็บอกว่า "เฮ้ย! เธอจำไว้เลยนะ ถ้าไม่มีเธอ ก็ไม่มีลูก" ผมไมได้เอาตัวรอดนะ แต่ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ ครับ

          ..ตอนนี้ยุ้ยเค้าขอออกจากงาน 3 ปีแล้วที่ไม่ทำงาน ขอเลี้ยงลูกอย่างเดียว เค้าอยากฝึกพัฒนาการลูกด้วยตัวเอง อยากเฝ้าดูทุก ๆ อย่างของลูก ซึ่งผมคิดว่าดีที่สุดแล้วไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าแม่ เวลาผมไปทำงาน ผมรู้สึกว่าปลอดภัย ผมไว้ใจ 100% ที่ภรรยาเราดูแลลูกเองครับ

เพราะเขาคือ...สมชายจดปลายเท้า

          เต๋า หัวโจก : สมชาย เข็มกลัด (เกิดวันที่ 26 ม.ค. 2517)

          หวานใจ : ยุ้ย อัฐมาศ อัคววิมล

          ลูกสาว : น้องสมใจ-ด.ญ.สรรกมล เข็มกลัด

          ลูกชาย : น้องสุขใจ ด.ช.พลภัทร เข็มกลัด

ผลงานสร้างชื่อ :

          ละคร : นางฟ้าสีรุ้ง, ข้าวเปลือก, น้ำใสใจจริง

          ภาพยนตร์ : โลกทั้งใบให้นายคนเดียว, นาคปรก

          อัลบั้ม : เต๋า หัวโจก, สมชายจดปลายเท้า, สมชาย 100 แรงม้า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 35 ฉบับที่ 478 ธันวาคม 2554

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เต๋า สมชาย...ในมุมที่หลายคนคาดไม่ถึง อัปเดตล่าสุด 12 มกราคม 2555 เวลา 15:44:54 8,742 อ่าน
TOP
x close