การจัดอาหารเด็กก่อนวัยเรียน (แม่บ้าน)
เรื่อง : อ.อมราภรณ์ วงษ์ฟัก มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
เด็กอายุ 1-5 ปี เราจะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเด็กก่อนวัยเรียนหรือวัยเด็กตอนต้น เป็นวัยที่เด็กมีความต้องการอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องการความเป็นอิสระ อยากรู้ อยากเห็น ต้องการความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
จึงจัดได้ว่าวัยเด็กเป็นวัยสำคัญที่จะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต การอบรมเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดให้เด็กเติบโตมามีบุคลิกภาพต่าง ๆ ฉะนั้นพ่อแม่เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด ความรักความอบอุ่นจึงเป็นอาหารใจที่วิเศษที่สุดสำหรับเด็กในวัยนี้ และจะก่อให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคน
ในเรื่อง "อาหาร" ช่วงวัยเด็กนี้เป็นช่วงที่สมองพัฒนาเต็มที่ โดยเฉพาะใน 2 ปีแรกเด็กควรได้รับอาหารที่จำเป็น และไม่ควรขาดอาหารประเภทโปรตีนที่ได้จากนม ไข่ และเนื้อสัตว์ทุกชนิด การที่เด็กมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าสมองได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ด้วยอาหารที่ดี เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร เนื่องมาจากเด็กวัยนี้เป็นวัยที่เข้าโรงเรียน ต้องจากพี่เลี้ยง พ่อแม่ที่จะคอยดูแลเรื่องอาหารอย่างใกล้ชิด เมื่อมาที่โรงเรียนก็มีสิ่งน่าสนใจมากมาย จนทำให้ความสนใจในการรับประทานอาหารน้อยลง หรือในบางครั้งก็มาเจอกับอาหารที่ไม่คุ้นเคย วิธีที่ขอแนะนำเพื่อให้ลูกได้รับอาหารที่เพียงพอ ในช่วงแรกแม่ควรเตรียมอาหารไว้ให้ลูก เพื่อช่วยให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกาย และอารมณ์ได้ดี โดยมีข้อปฏิบัติในการจัดอาหารให้เด็กคือ
1.จัดอาหารให้ครบ 5 หมู่มีความหลากหลายเพื่อให้เด็กได้สารอาหารครบถ้วนและเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
2.จัดอาหารและปริมาณอาหารที่เด็กก่อนวัยเรียนควรได้รับ เช่น
เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ควรได้รับวันละ 2-4 ช้อนโต๊ะ และควรได้รับเครื่องในสัตว์ด้วย ก็ได้ ควรได้รับวันละ 4-8 ช้อนโต๊ะ
ผลไม้ ควรให้เด็กรับประทานทุกวัน เพื่อให้ได้รับวิตามินซี
ไขมัน ควรได้รับน้ำมัน (ซึ่งอยู่ในรูปของอาหารผัดหรือทอด) วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ
3.ควรแบ่งมื้ออาหารให้มากขึ้น เพราะกระเพาะอาหารของเด็กมีขนาดเล็กลักษณะอาหารควรหั่นชิ้นเล็กและตักง่ายสะดวกที่เด็กจะรับประทาน ช่วยลุ้นให้กำลังใจ เป็นแบบอย่าง รวมทั้งเป็นช่วงเวลาที่จะฝึกให้เด็กรับประทานอาหารชนิดใหม่ ๆ
แต่อย่างไรก็ตามในครั้งแรก ๆ การรับประทานอาหารบางชนิด เด็กอาจปฏิเสธ งอแง หรือรับประทานได้น้อย คุณอย่าเพิ่งหงุดหงิดนะคะ "ทำอะไรต้องใจเย็น ไม่สำเร็จในครั้งแรกก็เริ่มใหม่ครั้งต่อไป"
ข้าวทอดปลาแซลมอน
เมนูลูกผสมไทยญี่ปุ่นจานนี้เป็นการดัดแปลงเอาข้าวหอมมะลิไทยมาทำเป็นข้าวทอดสไตล์ญี่ปุ่น อุดมไปด้วยสารอาหาร โดยใช้ปลาแซลมอนที่ได้ชื่อว่าเป็นปลาจากแหล่งบริสุทธิ์ที่ไร้มลพิษและมีคุณค่ามากมาย เพราะระหว่างที่อยู่ในทะเลปลาแซลมอนจะสะสมไขมันจากการกินแพลงก์ตอนและสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นไขมันจำเป็นที่ร่างกายมนุษย์ต้องการแต่สร้างขึ้นเองไม่ได้ นั่นคือกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า โอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์มากมายต่อมนุษย์
ส่วนผสม
ข้าวหอมมะลิหุงสุก 2 ถ้วยตวง
เนื้อปลาแซลมอนย่างสุกแกะเอาแต่เนื้อ ½ ถ้วยตวง
โชยุ (ซีอิ๊วญี่ป่น) 1 ช้อนโต๊ะ
วาซาบิ ½ -1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ทั้งฟอง 2 ฟอง
ไข่แดง 1 ฟอง
งาขาวคั่ว ¼ ถ้วยตวง
น้ำมันพืชสำหรับทอด 3 ถ้วยตวง
สาหร่ายตัดเป็นเส้นฝอย
โชยุ (ซีอิ๊วญี่ปุ่น) สำหรับจิ้ม
วิธีทำ
1.ผสมข้าวหอมมะลิ เนื้อปลาแซลมอน โชยุ วาซาบิ งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ และไข่แดงคลุกให้เข้ากัน
2.ปั้นข้าวเป็นก้อนสามเหลี่ยม กดให้แน่น
3.ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชไฟปานกลาง นำข้าวที่ปั้นไว้ลงชุบไข่ไก่ที่ตีพอเข้ากัน ทอดให้เหลืองทั่ว ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
4.จัดข้าวทอดปลาแซลมอนใส่จาน โรยหน้าด้วยงาขาวคั่วที่เหลือและสาหร่ายตัดเป็นเส้นฝอย เสิร์ฟพร้อมโชยุ
กระดูกหมูจี๊ดจ๊าด
เมนูอิ่มอร่อย รสชาติถูกใจเด็ก ๆ มีโปรตีนสูง ทำง่าย ๆ สามารถทำไว้ก่อนล่วงหน้าได้ ประหยัดเวลาคุณแม่บ้านเหมาะสำหรับเป็นเมนูข้าวกล่อง อาจเสริฟกับข้าวสวยหรือขนมปังแทนก็ได้ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากข้าว เด็กจะได้ไม่เบื่อ อาหารจานนี้เด็กจะได้รับโปรตีนจากกระดูกหมูเป็นส่วนใหญ่ มีคาร์โบไฮเดรตและเกลือแร่ วิตามินเพียงเล็กน้อย อาจเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการโดยจัดเสิร์ฟคู่กับอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และวิตามิน เช่น ข้าวสวย ขนมปัง สลัดผักสด หรือผักต้มเพิ่ม
ส่วนผสม
ซี่โครงหมู 500 กรัม
นมข้นหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ซอสหอยนางรม ตราภูเขาทอง 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวสูตร 1 ตราภูเขาทอ 1 ช้อนโต๊ะ
ผงขมิ้น 1 ½ ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ½ ช้อนชา
วิธีทำ
1.ผสมนมข้นหวาน น้ำผึ้ง เกลือป่น ซอสหอยนางรม ตราภูเขาทอง ซีอิ๊วขาวสูตร 1 ตราภูเขาทอง ผงขมิ้น และพริกไทยดำ ป่นให้เข้ากัน ใส่ซี่โครงหมู คลุกให้ทั่วหมักพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
2.นำซี่โครงหมูใส่ภาชนะ นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที หรือจนสุก จึงนำออกจากเตาอบ จัดเสิร์ฟ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 35 ฉบับที่ 507 สิงหาคม 2554