ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโรคภัยไข้เจ็บและโรคระบาดต่าง ๆ มีการกลายพันธุ์และเกิดโรคอุบัติใหม่ขึ้นมากมาย บางโรคก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่บางโรคนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว หากมองไปถึงคนรุ่นลูกของเราแล้ว อะไรจะดีไปกว่าการได้เห็นลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งทางออกที่จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ให้กับลูกได้นั้นก็คือการฉีดวัคซีนเด็ก เพื่อสร้างเกราะป้องกัน กระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน และปกป้องลูก ๆ จากการเจ็บป่วยได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้มีการคิดค้นวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคสำหรับเด็กได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจสงสัยว่า วัคซีนสำหรับเด็ก ต้องฉีดอะไรบ้าง ทั้งวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนเสริมอื่น ๆ ตามวัย งานนี้กระปุกดอทคอมรวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้วค่ะ
วัคซีนเด็กสำคัญแค่ไหน ทำไมต้องฉีดวัคซีน
วัคซีนเด็ก ต้องฉีดอะไรบ้าง
1. วัคซีนป้องกันวัณโรค หรือ วัคซีนบีจีซี (Bacillus Calmette-Guerin : BCG) ช่วยป้องกันวัณโรค ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) หากรับเชื้อเข้าไปในร่างกายจะส่งผลกระทบต่อปอดอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังแพร่กระจายไปส่วนอื่นของร่างกายได้ เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ปกติแพทย์จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้เด็กทุกคนก่อนออกจากโรงพยาบาล โดยฉีดที่ใต้ผิวหนัง บริเวณต้นแขน หรือหัวไหล่ด้านซ้าย หรือที่สะโพกด้านซ้าย
2. วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine : HBV) ช่วยป้องกันโรคตับอักเสบที่เกิดจากไวรัส Hepatitis B หากรับเชื้อไวรัสเข้าไปจะทำให้เกิดโรคทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรังได้ ผู้ป่วยจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น วัคซีนนี้ต้องได้รับทั้งหมด 3 เข็ม โดยฉีดเข็มแรกตั้งแต่แรกเกิด เข็มที่สองเมื่ออายุครบ 1 เดือน และเข็มสุดท้ายเมื่อเด็กครบ 6 เดือน
3. วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (Diphtheria, Tetanus, Pertussis : DTP) เป็นวัคซีนรวมที่ช่วยป้องกันโรคต่อไปนี้
- โรคคอตีบ เป็นโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดเนื้อตายในลำคอ หลอดลมตีบ ทำให้หายใจลำบาก และมีโอกาสนำไปสู่อาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดอักเสบ ไตทำงานผิดปกติ
- โรคบาดทะยัก เกิดจากเชื้อบาดทะยัก ทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เกร็ง หายใจลำบาก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
- โรคไอกรน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส (Bordetella pertussis) ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ อาการจะรุนแรงหากเกิดขึ้นกับเด็ก และอาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดแฟบ ปอดอักเสบ
โดยฉีดชุดแรก 3 ครั้ง หลังจากนั้นควรมีการฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกในช่วงอายุ 1 ขวบ 6 เดือน และเมื่อมีอายุ 4-6 ขวบ โดยฉีดเฉพาะคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน สำหรับเด็กโต
4. วัคซีนโปลิโอ (Polio) ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ เมื่อติดเชื้อแล้วจะส่งผลต่อสมองและไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาต ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโปลิโอ แต่สามารถป้องกันด้วยวัคซีน โดยมีทั้งแบบฉีดและแบบหยอด สามารถใช้แทนกันได้ตามความเห็นของแพทย์
5. วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (Measles Mumps Rubella vaccine : MMR) เป็นวัคซีนรวม ต้องฉีดให้ลูก 2 ครั้ง โดยช่วยป้องกันโรคดังต่อไปนี้
- โรคหัด ทำให้เป็นผื่นแดง มีไข้ ตาแดง มีโอกาสทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายอย่าง เช่น ปอดอักเสบ หูอักเสบ ท้องเดิน และสมองอักเสบ สามารถแพร่กระจายได้ผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม
- โรคหัดเยอรมัน ทำให้ผู้ติดเชื้อปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอและใบหูโต ตามมาด้วยอาการผื่นขึ้นลามตั้งแต่ใบหน้าไปถึงแขนขา ก่อนจะค่อย ๆ หายไป หัดเยอรมันจะรุนแรงเมื่อติดในสตรีมีครรภ์ เพราะอาจทำให้เด็กในครรภ์พิการได้
- โรคคางทูม ทำให้ต่อมน้ำลายอักเสบ บางรายอาจเกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบด้วย แม้คางทูมอาจไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ก็อาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนได้หลายอย่าง เช่น อัณฑะอักเสบ รังไข่อักเสบ ข้ออักเสบ ระบบประสาทอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
6.วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis virus : JE) ป้องกันเชื้อเจอีไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุกว่า 80% ของไข้สมองอักเสบในประเทศไทย ผู้ติดเชื้อจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง มีไข้ ชัก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยต้องฉีดวัคซีนนี้ให้ลูก 2 ครั้ง
7. วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine) ป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย และปวดหัวรุนแรง ควรฉีดทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
- 8. วัคซีนเอชพีวี (HPV) สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70-90% ควรฉีดตั้งแต่อายุ 9 ขวบขึ้นไป
วัคซีนเสริมเพิ่มภูมิต้านทานโรคอื่น ๆ
นอกจากวัคซีนขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญสำหรับเด็ก ๆ แล้ว ยังมีวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อเสริมภูมิต้านทานโรคให้ครอบคลุมขึ้น ข้อดีของวัคซีนเสริมคือ มีวัคซีนชนิดรวมฉีดเข็มเดียวแทนการแยกฉีดหลายเข็ม ลูกจึงเจ็บตัวน้อยครั้ง และคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาลบ่อย ๆ โดยวัคซีนเสริมที่แนะนำ มีดังนี้
- วัคซีนโรต้าไวรัส (Rotavirus) เป็นวัคซีนชนิดกิน ช่วยป้องกันอาการท้องเสียจากเชื้อโรต้าไวรัส และลดความรุนแรงของโรคที่พบบ่อย ๆ ในเด็กได้
- วัคซีนนิวโมคอคคัส (Invasive Pneumococcal Disease : IPD) ป้องกันโรคปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยควรฉีดในช่วงอายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน จากนั้นจึงฉีดกระตุ้นอีกครั้ง
- วัคซีนฮิบ (Haemophilus influenzae type b Vaccine) เป็นวัคซีนที่อยู่ในวัคซีนชนิดรวม 1 เข็ม ป้องกันได้ 5 โรค คือ คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ โดยฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง
- วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Varicella vaccine) ป้องกันการติดเชื้อวาริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรัส ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม หรือถ้ามีการระบาดของโรคสามารถฉีดเข็มที่สองก่อนได้ แต่ต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ (Hepatitis A Vaccine) ต้องฉีด 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป
- วัคซีนไข้เลือดออก แนะนำให้ฉีดวัคซีนในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไป ต้องมีประวัติเคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน และปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนรับวัคซีน
ตารางวัคซีนเด็ก ต้องฉีดอะไรในแต่ละช่วงเดือน
อายุ | วัคซีนที่ให้ | ข้อแนะนำ |
แรกเกิด | HB1 วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี | ควรให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด |
BCG วัคซีนป้องกันวัณโรค | ฉีดให้เด็กก่อนออกจากโรงพยาบาล | |
1 เดือน | HB2 วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี | เฉพาะรายที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี |
2 เดือน | DTP-HB-Hib1 วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี ฮิบ | |
OPV1 วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
Rota1 วัคซีนโรต้า | ห้ามให้วัคซีนโรต้าครั้งที่ 1 ในเด็กอายุมากกว่า 15 สัปดาห์ | |
4 เดือน | DTP-HB-Hib2 วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี ฮิบ | |
OPV2 วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
IPV วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด | ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด 1 เข็ม พร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน 1 ครั้ง | |
Rota2 วัคซีนโรต้า | ห้ามให้วัคซีนโรต้าครั้งสุดท้าย ในเด็กอายุมากกว่า 32 สัปดาห์ | |
6 เดือน | DTP-HB-Hib3 วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี ฮิบ | |
OPV3 วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
Rota3 วัคซีนโรต้า | ห้ามให้วัคซีนโรต้าครั้งสุดท้าย ในเด็กอายุมากกว่า 32 สัปดาห์ | |
9 เดือน | MMR1 วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน | หากไม่ได้ฉีดเมื่ออายุ 9 เดือน ให้รีบติดตามฉีดโดยเร็วที่สุด |
1 ขวบ | LAJE1 วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ | |
1 ขวบ 6 เดือน | DTP4 วัคซีนรวมป้องการโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน | |
OPV4 วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
2 ขวบ 6 เดือน | LAJE2 วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ | |
MMR2 วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน | ||
4 ขวบ | DTP5 วัคซีนรวมป้องการโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน | |
OPV5 วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
ประถมศึกษาปีที่ 1 (ตรวจสอบประวัติและเก็บตกวัคซีน) |
MMR วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน | เฉพาะรายที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ |
HB วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี | ||
LAJE วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ | ||
IPV วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด | ||
dT วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก | ||
OPV วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน | ||
BCG วัคซีนป้องกันวัณโรค | ||
ประถมศึกษาปีที่ 5 (เฉพาะผู้หญิง) | HPV1 และ HPV2 วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี | ระยะห่างระหว่างเข็ม ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน กรณีเด็กไทยที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาให้ฉีดที่อายุ 11-12 ปี |
ประถมศึกษาปีที่ 6 | dT วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก | |
มากกว่า 13 ปีขึ้นไป |
Varicella vaccine วัคซีนอีสุกอีใส | ให้ฉีด 2 เข็ม โดยเว้นระยะห่างกัน 1 เดือน |
ข้อควรรู้สำคัญเกี่ยวกับการรับวัคซีน
- นำสมุดบันทึกสุขภาพของเด็กหรือสมุดวัคซีนไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์ดูประวัติสุขภาพ และลงบันทึกติดตามการรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด
- วัคซีนบางชนิดต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง และอาจต้องฉีดกระตุ้น จึงจะได้ผลในการป้องกันโรคได้เต็มที่ อย่าลืมพาเด็กมารับวัคซีนตามกำหนดนัด
- ไม่ควรให้ลูกรับวัคซีนขณะที่มีไข้สูง หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ยกเว้นเป็นหวัด ท้องเสีย โดยไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้
- ถ้าเด็กเคยมีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีน เช่น ชัก ไข้สูงมาก บวม แดง บริเวณที่ฉีด มีผื่นลมพิษขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์หรือพยาบาลทราบก่อนฉีดวัคซีนครั้งต่อไป
- หลังฉีดวัคซีน ควรนั่งพักรอเพื่อสังเกตอาการแพ้วัคซีนที่โรงพยาบาล อย่างน้อย 30 นาที
หากคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถพาลูก ๆ ไปฉีดวัคซีนได้ตามกำหนดเวลา เนื่องจากติดเหตุจำเป็น หรือเด็กมีอาการป่วย หลังจากหายดีแล้วให้รีบพาลูกไปฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ ให้นับต่อไปได้เลย เพราะหากละเลยจนทำให้เด็กได้รับวัคซีนไม่ครบ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงที่เป็นอันตรายได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดวัคซีนให้ลูกควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งถึงแผนการฉีดที่แน่นอน อาการแพ้หรือโรคประจำตัวต่าง ๆ ของเด็ก เพื่อความปลอดภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ddc.moph.go.th, thaipediatrics.org, synphaet.co.th, paolohospital.com