กลยุทธ์ 3 ขั้น ปราบเจ้าหนูนักต่อต้าน (รักลูก)
ไม่อยากไป ไม่อยากกิน ไม่อยากทำและอีกสารพัดคำปฏิเสธที่พ่อแม่จะต้องได้ยินจากลูกวัย 3 ขวบแรกแต่แทนที่จะมัวอารมณ์เสียกับอาการต่อต้านจากลูกใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้ปราบเลยค่ะ
ทำไมลูกต่อต้านและปฏิเสธ?
เมื่อลูกเข้าสู่วัยเตาะแตะ (1-3 ปี) พัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และสมองก็เริ่มพัฒนามากขึ้นกว่าวัยเบบี้ ทำให้ลูกเริ่มเป็นตัวของตัวเองมองตัวเองและให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับหนึ่งอยากทำอะไรด้วยตัวเองมากขึ้น จึงไม่อยากให้พ่อแม่ทำให้เขาทั้งหมดแต่ด้วยความสามารถของวัยนี้ก็ยังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่บางครั้งก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ เวลาที่พ่อแม่บอกให้ทำอะไร แต่หนู ๆไม่อยากทำก็จะเริ่มเกิดการต่อต้านขึ้น
เด็กวัยนี้จะเริ่มอยากเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบหรือไม่ชอบเอง ทำให้เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมลูกได้ทั้งหมดเหมือนเมื่อก่อนคำที่ติดปากลูกส่วนใหญ่ที่คือคำว่า "ไม่ ไม่ ไม่" คำนี้แหละค่ะ ที่ทำให้พ่อแม่ต้องหงุดหงิด อารมณ์เสีย จนกลายเป็นไม่เข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย
พิชิตเจ้าหนูจอมปฏิเสธ
วิธีที่ดีสำหรับการจัดการกับลูกจอมต่อต้านคือพ่อแม่ต้องยอมรับและทำความเข้าใจก่อนว่าการปฏิเสธและต่อต้านของลูกเป็นพัฒนาการตามวัย ถ้าลูกเริ่มเป็นตัวของตัวเองแสดงว่าลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งคนอื่นน้อยลงแต่ถ้าลูกไม่รู้จักปฏิเสธหรือต่อต้าน ลูกก็จะเป็นเด็กที่คิดเองไม่เป็นและต้องหวังพึ่งพ่อแม่อยู่ต่อไปค่ะ
ดังนั้น ถ้าเจอกับสถานการณ์ต่อต้านจากลูกแบบนี้พ่อแม่ไม่ควรหงุดหงิดและอย่าพยายามควบคุมลูกไปทุกอย่างเพราะจะยิ่งเป็นการฝืนความต้องการของลูก ลูกก็จะยิ่งร้องไห้ โวยวายควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนกลายเป็นเด็กอารมณ์ร้ายแต่พ่อแม่ควรใช้วิธีเปิดโอกาสให้ลูกได้คิดเอง และจัดการกับอารมณ์ของเขาด้วยวิธีต่อไปนี้ คือ
กลยุทธ์ขั้นที่ 1 ส่งคำเตือนไปก่อน
ในขณะที่ลูกกำลังติดใจอยู่กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอยู่แล้วต้องถูกพ่อแม่บอกให้ทำอย่างอื่น ลูกก็มีความรู้สึกไม่พอใจหรือโกรธโดยลูกจะแสดงออกมาในท่าทีที่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการร้องโวยวาย ตะโกน ฯลฯ
เพื่อให้ลูกได้ปรับตัวและเตรียมใจกับอารมณ์โกรธ พ่อแม่ควรบอกลูกเพื่อเป็นคำเตือนก่อน เช่น ในขณะที่ลูกกำลังเล่นอยู่ ให้บอกลูกว่า "อีก 10 นาที แม่จะพาไปอาบน้ำหรือกินข้าวแล้วนะ"เมื่อพูดจบ ลูกอาจจะแสดงอาการต่อต้านออกมาก็ปล่อยให้เขาได้ระบายความรู้สึก พ่อแม่ก็อาจจะเดินไปที่อื่นก่อนปล่อยให้ลูกเล่นไปก่อนค่ะ (เด็กอาจยังไม่เข้าใจว่า 10 นาทีคือนานเท่าไรแต่จะพอเข้าใจได้จากท่าทีของพ่อแม่ว่าหนูยังเล่นต่อได้อีกหน่อย)
กลยุทธ์ขั้นที่ 2 พูดคุยอย่างเข้าใจ
หลังจากที่พ่อแม่ส่งคำเตือนไปแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องหยุดเล่นจริงๆพ่อแม่ก็ควรเข้าไปพูดคุยกับลูก ว่าถึงเวลาที่จะต้องไปอาบน้ำแล้วขั้นตอนนี้ลูกอาจจะโวยวายมากขึ้นอีก แต่พ่อแม่ก็ต้องค่อย ๆบอกกับลูกด้วยท่าทีที่สงบและใช้คำที่สั้นกระชับ เช่น "แม่รู้ว่าลูกกำลังสนุก แม่เข้าใจว่าลูกไม่อยากอาบน้ำ แต่เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องอาบน้ำ ลูกก็ต้องไปอาบน้ำค่ะ" การพูดคุยกับลูกแบบนี้ยังเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์เวลาที่ไม่พอใจเราควรใช้วิธีการพูดดีกว่าการแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมาถ้าพูดแล้วลูกไม่ยอมทำตาม ก็อย่าเพิ่งใส่อารมณ์กับลูกนะคะแต่ให้คิดว่าสิ่งที่พ่อแม่กำลังทำ ไม่ได้ต้องการเอาชนะลูกแต่เราทำเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์คือพาลูกไปอาบน้ำ จึงต้องใจเย็น ๆ ค่ะ
กลยุทธ์ขั้นที่ 3 ลงมือปฏิบัติ
ขั้นตอนนี้ ต้องลงมือทำจริงค่ะ คือพาลูกไปอาบน้ำเลยแต่ต้องเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้รุนแรง ไม่ควรจับ ลากหรือดึงลูกด้วยความรุนแรง แต่ควรพาลูกไปพร้อมกับอธิบายว่าแม่จะพาลูกไปอาบน้ำแล้ว โดยอาจยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ลูกเห็น เช่น "ดูสิ พี่ ๆ ก็อาบน้ำกันทั้งนั้น"เด็กวัยนี้มักชอบที่จะเลียนแบบค่ะหรืออาจเล่มเกมสนุก ๆ ไปพร้อมกับลูกโดยดูจาก สิ่งที่ลูกกำลังเล่นอยู่ เช่นชวนว่าใครจะพาตุ๊กตาเป็ดน้อยไปอาบน้ำได้ก่อนกัน ลูกก็จะสนุกให้ความร่วมมือและลดการต่อต้านลงค่ะ
อีกเคล็ดลับคือการให้ทางเลือกแก่ลูก เนื่องจากเด็กวัยนี้เริ่มไม่ชอบการถูกบังคับ ดังนั้นถ้าพ่อแม่ใช้คำสั่ง เช่น "หนูต้องไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้" อาจทำให้เด็กต่อต้าน แต่ถ้าเด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเอง เด็กจะรู้สึกว่าตนควบคุมสถานการณ์ได้ วิธีให้ทางเลือกแก่ลูก เช่น "หนูจะให้แม่พาไปอาบน้ำ หรือจะให้พ่อพาไปคะ" หรือ "หนูจะให้ คุณแม่อาบน้ำให้เป็ดน้อย หรือหนูจะอาบให้เป็ดน้อยเองคะ" เมื่อลูกได้เลือก ลูกก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าถูกบังคับ และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียอารมณ์กันทั้งสองฝ่ายค่ะ
ถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจหนู
พ่อแม่ที่มักจะหงุดหงิดใส่ลูกหรือพยายามควบคุมลูกทุกอย่างโดยไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้คิดและตัดสินใจเองเลยถึงแม้พ่อแม่จะได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่ลูกกลับเป็นฝ่ายได้รับผลเสีย เพราะลูกจะกลายเป็นเด็กไม่อยากคิดตัดสินใจเองไม่ได้ และจะไม่มีความมั่นใจในตัวเองจนไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ ถ้าพ่อแม่ใช้อารมณ์รุนแรงกับลูกก็มีแนวโน้มที่ลูกจะเป็นเด็กก้าวร้าว ระบายอารมณ์ด้วยการทำร้ายผู้อื่นเพราะลูกไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองและเคยเห็นแบบอย่างของอารมณ์ที่รุนแรงจากพ่อแม่ด้วยค่ะ
ลองสังเกตว่าลูกมีพื้นอารมณ์อย่างไร และเลือกวิธีปฏิบัติให้เหมาะสมกับลูกนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 29 ฉบับที่ 337 กุมภาพันธ์ 2554