สำหรับ "อาการท้องผูกในเด็ก" นั้น ถือว่าเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นในเด็กและอาจพบได้สูงถึง 30% เลยทีเดียวค่ะ และถือเป็นปัญหาหลัก ๆ ที่ต้องทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนหนักใจและต้องรีบไปปรึกษาคุณหมอว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร และควรทำอย่างไรดี ซึ่งคำตอบก็คือปัจจัยที่ทำให้เด็ก ๆ ท้องผูก หรือมีลักษณะของการขับถ่ายที่แตกต่างกันนั้น อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ชนิดของนมที่ให้ลูกน้อยดื่ม ปริมาณใยอาหารที่ลูกน้อยได้รับในแต่ละวัน หรือแม้แต่การสร้างสุขลักษณะนิสัยการขับถ่ายของเด็ก ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมานี้ ชนิดของนมถือเป็นปัจจัยที่พบได้บ่อยสุดที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ลูกน้อยเกิดอาการท้องผูก ดังนั้นวิธีรับมือสำหรับคุณแม่ก็ง่าย ๆ เลยค่ะ เพียงแค่รู้จักเลือกชนิดของนมให้ลูกดื่ม ใส่ใจคำนวณปริมาณใยอาหารให้ลูกน้อยได้รับอย่างเพียงพอในแต่ละวัน รวมไปถึงฝึกให้ลูกน้อยรู้จักขับถ่ายให้เป็นเวลา เพียงเท่านี้คุณแม่ก็จะคลายกังวลเรื่องปัญหาลูกท้องผูกไปได้เยอะเลยค่ะ
นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่ให้ลูกน้อยดื่มนมแม่อย่างเดียว น้ำนมแม่นั้นมีใยอาหารของธรรมชาติเป็นส่วนประกอบอยู่มากเป็นถึงอันดับ 3 ซึ่งใยอาหารที่ว่านี้จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมระบบทางเดินอาหารของเด็กที่ดี แต่นมผงทั่วไปบางชนิดไม่มีใยอาหารเป็นส่วนประกอบ และจะย่อยได้ยากกว่านมแม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะว่าทำไมเวลาเปลี่ยนจากนมแม่มาเป็นนมผงแล้วจึงทำให้ลูกเกิดอาการท้องผูกได้ง่าย นั่นก็เพราะว่าลูกน้อยได้รับใยอาหารจากธรรมชาติไม่เพียงพอนั่นเอง
เมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าทำไมลูกน้อยถึงท้องผูก ทีนี้ก็ได้เวลาที่คุณแม่จะมาหาวิธีแก้ไขและป้องกันกันแล้วค่ะ ซึ่งอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า "ใยอาหารจากธรรมชาติ" ที่มีอยู่ในนมแม่นั้นมีส่วนช่วยในการส่งเสริมระบบทางเดินอาหารที่ดีของเด็ก ดังนั้นเมื่อไรที่คุณแม่เปลี่ยนมาเป็นนมผง ทางเลือกก็คือควรมองหานมผงที่มีส่วนผสมของใยอาหารจากธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติแล้วเด็กอายุประมาณ 1-8 ขวบ ควรได้รับใยอาหาร 14-18 กรัม ต่อวัน แค่นี้ก็อาจมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบทางเดินอาหารของลูกน้อยได้แล้วค่ะ โดยใยอาหารที่ว่านี้ก็คือ เส้นใยอาหารจากธรรมชาติชนิด โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose-OF) เป็นเส้นใยอาหารพรีไบโอติกที่ละลายน้ำได้ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharide) ในนมแม่ ซึ่งจะพบได้ในผักผลไม้ต่าง ๆ นั่นเองค่ะ
สรุปก็คือ โอลิโกฟรุคโตส ใยอาหารของธรรมชาติที่มีอยู่ในนมแม่ สามารถช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อย ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยควบคุมและกำจัดปริมาณจุลินทรีย์ไม่ดีที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ในเด็ก ทำให้ร่างกายของลูกน้อยสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งเมื่อลูกน้อยมีระบบลำไส้ และระบบขับถ่ายที่ดี ก็จะนำมาซึ่งพัฒนาการที่ดีได้เช่นเดียวกัน
โดยปกติแล้วเด็กมักจะถ่ายอุจจาระทุกวัน โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดที่กินนมแม่ อาจถ่ายวันละ 5-6 ครั้ง และจะค่อย ๆ ลดลงเพียงวันละ 1-2 ครั้งเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายและเป็นกระบวนการปกติของพัฒนาการของทารก ซึ่งกระบวนการระบบขับถ่ายสำหรับทารกนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะหากลูกน้อยมีพัฒนาการของการขับถ่ายที่ดีก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการที่ดี ทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดี รวมไปถึงสุขภาพร่างกายดีตามไปด้วย แต่ถ้าหากลูกน้อยมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย กลับกันก็จะทำให้เด็กอารมณ์ไม่ดี และอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกได้
วิธีสังเกตอาการเมื่อลูกท้องผูก การขับถ่ายจะมีลักษณะต่อไปดังนี้...
- ถ่ายอุจจาระน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- ถ่ายอุจจาระแข็งมากเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุน
- เจ็บเวลาถ่าย บางครั้งอาจมีเลือดปนออกมาขณะถ่าย
- อาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ร่วมกับถ่ายลำบากและเจ็บ
ซึ่งช่วงอายุที่มักจะพบว่าท้องผูกได้มากที่สุดก็คือ อายุประมาณ 6 เดือน - 4 ปีนั่นเองค่ะ