ปัญหาคนตั้งครรภ์มีมากมาย จะให้กังวลทุกอาการก็คงไม่ไหว ไหนลองมาดูอาการของคนท้องที่ไม่ควรวิตกมากเกินไปกันดีกว่าค่ะ
ในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นนอกจากคุณแม่จะแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนแล้ว ยังอาจพบอาการอื่น ๆ ที่สามารถเจอได้กับหญิงสาวตั้งครรภ์ทุกคน แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ บางอาการอาจเป็นผลข้างเคียงของการตั้งครรภ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ส่งผลถึงเจ้าตัวเล็กในท้องแต่อย่างใด ดังนั้นคุณแม่สบายใจหายห่วงได้เลยค่ะ ว่าแต่จะมีอาการอะไรบ้างนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมมาฝากคุณแม่แล้ว ไปดูกันเลยดีกว่า
อาการ : มีคราบมูกเหลวสีขาวหรือสีครีม ลักษณะคล้ายแป้งเปียก ออกมาติดกางเกงชั้นใน หรือที่เรียกกันว่าตกขาวนั่นเอง ถือเป็นเรื่องปกติของคุณผู้หญิงทั้งหลาย ทว่าในคุณแม่ตั้งท้องนั้นอาจจะพบมากกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ สาเหตุนั้นมาจากฮอร์โมนเพศหญิงที่สูงขึ้นนั่นเอง
ข้อควรระวัง : หากตกขาวมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เป็นสีเหลืองอมเขียว ส่งกลิ่นเหม็น และมีอาการคันร่วมด้วยควรรีบไปปรึกษาแพทย์ด่วน เพราะอาจเป็นการอักเสบติดเชื้อของช่องคลอดและปากมดลูก
วิธีดูแลตนเอง : สวมใส่กางเกงชั้นในที่มีเนื้อผ้าเบาสบาย ไม่อับชื้น อาจใช้แผ่นอนามัยในระหว่างที่มีการตกขาว หรือพกทิชชูเปียกไว้ทำความสะอาด และงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่ช่องคลอด
2. ปวดปัสสาวะบ่อย
อาการ : ปวดปัสสาวะทุก ๆ 10-20 นาที อาการนี้พบเด่นชัดในหญิงสาวตั้งครรภ์ สาเหตุมาจากร่างกายของคุณแม่มีการคัดกรองเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายมากขึ้น อีกทั้งกระเพาะปัสสาวะถูกเบียดเนื่องจากลูกน้อยของคุณที่ต้องอาศัยพื้นที่ในการเจริญเติบโต ดังนั้นคุณแม่สบายใจหายห่วงได้เลยค่ะว่าอาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ นั้นจะไม่ส่งผลถึงลูกน้อยอย่างแน่นอน
ข้อควรระวัง : อย่าลดการดื่มน้ำ ให้ดื่มน้ำตามปกติ และข้อสำคัญไม่ควรกลั้นปัสสาวะอย่างเด็ดขาดเพราะอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
วิธีดูแลตนเอง : พยายามอยู่ในสถานที่ที่เข้าห้องน้ำได้โดยง่าย หรือหากต้องเดินทางไกล งดการดื่มน้ำก่อนสัก 1 ชั่วโมง เมื่อถึงที่หมายค่อยดื่มน้ำชดเชยเอาค่ะ นอกจากนั้นยังมีวิธีบริหารอุ้งเชิงกราน ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาปัสสาวะเล็ดและทำให้คุณแม่คลอดง่ายขึ้นด้วยค่ะ
3. นอนกรน
อาการ : คุณแม่หลายคนอาจจะไม่รู้ตัวว่าเวลานอนนั้นตัวเองกรนเสียงดังแค่ไหน พอสามีบอกก็ไม่เชื่อ จากที่ไม่เคยกรน จู่ ๆ จะมากรนได้อย่างไร คุณแม่ขา...มันคือเรื่องจริงนะคะ เพราะน้ำหนักตัวของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้หลอดลมแคบลง จนต้องอาศัยการอ้าปากเพื่อสูดออกซิเจนร่วมด้วย และเมื่ออากาศจากทางจมูกและปากมาเจอกันก็สามารถเกิดเสียงกรนได้นั่นเองค่ะ
ข้อควรระวัง : ให้คุณสามีช่วยสังเกตว่าเวลากรนนั้นมีการหยุดหายใจร่วมด้วยหรือไม่ โดยการสังเกตการหายใจจะค่อย ๆ แผ่วลง ช่วงอกและท้องจะหยุดเคลื่อนไหว หรือในขณะที่กรนจะสะดุ้งตื่นหรือสำลักน้ำลาย ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์นะคะ
วิธีดูแลตนเอง : ใช้หมอนสูง เวลานอนให้นอนตะแคง พยายามหลีกเลี่ยงการนอนหงาย และอาจใช้น้ำยาล้างจมูกก่อนเข้านอน เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับโพรงจมูกค่ะ
4. เหงื่อออก
อาการ : เหงื่อออกตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน เหงื่อจะออกทั่วทั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นกรอบหน้า ลำคอ ใต้วงแขน ทั้งนี้เป็นเพราะกระบวนการเมตาบอลิซึมที่เผาผลาญพลังงานคุณแม่นั่นเอง ทำให้เลือดไหลเวียนสูบฉีดและอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตาม จนร่างกายต้องขับเหงื่อออกมาเพื่อทำให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง
ข้อควรระวัง : อาจเกิดการติดเชื้อราในบริเวณที่เหงื่อออกเยอะ อันเนื่องมาจากการอับชื้น เช่น ซอกแขน ข้อพับ ใต้ราวนม เป็นต้น
วิธีดูแลตนเอง : ทำความสะอาดร่างกายเพิ่มความสดชื่น สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่คับจนเกินไป เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดีหรือมีอุณหภูมิที่เย็น และควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
5. สิวและผิวหมองคล้ำ
อาการ : คุณแม่ที่กังวลกับเรื่องความสวยความงาม เพราะในขณะตั้งท้องนั้นเกิดฝ้า กระ สิว ผิวหมองคล้ำ มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงนั่นเองค่ะ แต่รับรองได้เลยว่าไม่ส่งผลต่อลูกในท้องอย่างแน่นอน
ข้อควรระวัง : หากคิดจะใช้ครีมบำรุงหรือครีมรักษาสิว ควรถามแพทย์ก่อนทุกครั้งว่ามีสารที่เป็นอันตรายกับเด็กในท้องหรือไม่
วิธีดูแลตนเอง : ทาครีมกันแดดถ้าหากจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง 10.00-15.00 น. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนั้นควรดื่มน้ำและกินผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินก็จะช่วยให้ผิวไม่หมองคล้ำอีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อลูกน้อยของคุณด้วย
6. เลือดออกตามไรฟัน
อาการ : ขณะแปรงฟันหรือขบเคี้ยวอาหารมักมีเลือดออกตามเหงือกและไรฟัน อีกทั้งเหงือกยังบวมและแดง เป็นเพราะขณะตั้งครรภ์หลอดเลือดฝอยในบริเวณเหงือกมีการขยายตัวจึงทำให้มีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ
ข้อควรระวัง : หากปล่อยไว้นาน ๆ ระวังเหงือกอักเสบ จนกลายเป็นโรคปริทันต์ ซึ่งเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
วิธีดูแลตนเอง : แปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม หากพบว่ามีเลือดออกตามไรฟันควรไปพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนออกพร้อมกับตรวจช่องปากให้เรียบร้อย ซึ่งคุณแม่สามารถเข้ารับบริการได้ในช่วงครรภ์ 4-6 เดือนค่ะ
รู้แบบนี้แล้วคุณแม่ก็สบายใจหายห่วงได้แล้วเนอะ แต่ถ้าเกิดคุณแม่มีอาการที่นอกเหนือจากนี้ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยและตัวคุณแม่เองนะคะ
ข้อมูลจาก : parenting.com, healthline.com