ใช้ยาแก้ปวดผิด...ระวังครรภ์เป็นพิษ



          เมื่อตั้งครรภ์ความเสี่ยงหลาย ๆ ปัจจัยก็ตามมา แม้กระทั่งอาการเจ็บป่วยและการรับประทานยาคุณแม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ แล้วต้องกินยาอย่างไรไม่ให้มีผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ วันนี้กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้การใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการอย่างไรไม่ให้ครรภ์เป็นพิษมาฝากคุณแม่ตั้งครรภ์กันค่ะ พร้อมแล้วเราไปดูข้อมูลดี ๆ จากนิตยสาร รักลูก กันเลยค่ะ ^^

          ยาแก้ปวด เป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ใช้ยามปวดศีรษะ หรือมีอาการปวดอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการครรภ์เป็นพิษ ต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ เพราะถ้ากินเกินขนาดอาจทำให้อาการแย่ลงได้

  ยาแก้ปวดกับแม่ตั้งครรภ์

          นอกจากพาราเซตามอล (paracetamol) แล้ว ก็ยังมียาแอสไพริน ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในสมัยก่อน แต่เพราะพัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้รู้ว่าการใช้ยาแอสไพรินมีผลข้างเคียงเยอะการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ อีกทั้งมีการพัฒนายาแก้ปวดกลุ่มใหม่ ๆ ที่ให้ผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารน้อยกว่าและระงับปวดได้ดีกว่าด้วย การใช้ยาแก้ปวดชนิดอื่น ๆ จึงมีมากขึ้น

แอสไพรินป้องกันครรภ์เป็นพิษ

          ปัจจุบันการใช้ยาแอสไพรินในแม่ตั้งครรภ์จะใช้เฉพาะกรณีกลุ่มเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ ใช้เพื่อป้องกันอาการครรภ์เป็นพิษ โดยแพทย์จะให้แม่กินยาแอสไพรินขนาด 81 มก. วันละเม็ด เพื่อป้องกันโรค เริ่มกินตั้งแต่อายุครรภ์ 12-16 สัปดาห์ จนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์จึงหยุด ซึ่งทางการแพทย์พบว่าการใช้แอสไพรินขนาดต่ำ ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ และการเสียชีวิตก่อนกำเนิดได้

อันตราย..หากใช้แอสไพรินไม่ถูกต้อง

         1. แม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการครรภ์เป็นพิษ และกินยาแก้ปวดแอสไพรินอยู่ก่อนแล้ว หากมีการใช้ยาเกินขนาดหรือใช้โดยไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ อาจทำให้เกิดอันตราย และเกิดอาการครรภ์เป็นพิษกำเริบรุนแรงขึ้นได้

         2. ไม่รู้ตัวว่าครรภ์เป็นพิษ แต่มีอาการปวดศีรษะ หรือปวดจุกลิ้นปี่รุนแรง แล้วคิดว่าเป็นอาการปวดธรรมดา ก็หายาแก้ปวดมากินเอง และถ้าไปกินแอสไพรินก็อาจทำให้อาการของโรคกำเริบรุนแรงมากขึ้น จนเกิดครรภ์เป็นพิษวิกฤต และอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแม่ตั้งครรภ์จึงต้องหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ว่าเกิดจากครรภ์เป็นพิษหรือไม่ด้วยค่ะ

ข้อดีของการฝากครรภ์

          เมื่อแม่มาฝากครรภ์ แพทย์จะซักประวัติ หากพบว่าแม่อายุมาก สูบบุหรี่ มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อ มีประวัติใช้ยาลดความดัน ใช้ยาแอสไพริน ซึ่งอาจต้องกินเพราะโรคประจำตัว มีประวัติครรภ์เป็นพิษมาก่อน ทำให้แม่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อพบว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง แพทย์จะตรวจเลือด PIGF, PAPP-A และตรวจอัลตราซาวด์ดรอปเปอร์ของหลอดเลือดแดง uterine ประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรง เพื่อพิจารณาให้ยาและวางแผนป้องกัน นอกจากนั้นต้องชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เพื่อประมวลดัชนีมวลกาย และค่าความดันโลหิตด้วย

สังเกตอาการแบบนี้ เสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

          ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่

          มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (โดยตั้งครรภ์ในอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์) ซึ่งวินิจฉัยจากการวัดความดันโลหิตของแม่ตั้งครรภ์ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 4 ชม. หากพบว่าความดัน systolic สูงกว่าหรือเท่ากับ 140 มม.ปรอท หรือความดัน diastolic มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มม.ปรอท ถือว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง

          ตัวบวม เนื่องจากมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ

          หากมีอาการรุนแรงขึ้นจะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษวิกฤต คือเกิดการล้มเหลวของระบบอวัยวะต่าง ๆ เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ไตทำงานแย่ลง ระดับเอนไซม์ตับสูงผิดปกติ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นยอดอก ปอดบวมน้ำ ชักหมดสติ ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์

          แม่ตั้งครรภ์จึงต้องใส่ใจตัวเองให้มาก หากมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้นควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะเรื่องกินยาแก้ปวด ห้ามซื้อยากินเองเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อาการหนักและรุนแรงได้




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 33 ฉบับที่ 389 มิถุนายน 2558


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ใช้ยาแก้ปวดผิด...ระวังครรภ์เป็นพิษ อัปเดตล่าสุด 28 กรกฎาคม 2558 เวลา 13:34:30 8,061 อ่าน
TOP