Fetal Distress คืออะไร สำหรับภาวะนี้ถือเป็นอาการที่เกิดกับแม่ตั้งครรภ์และอาจส่งผลไปยังทารกได้ ว่าแล้วคนท้องต้องระวังแค่ไหน มาหาคำตอบเกี่ยวกับ Fetal Distress กัน ช่วงเวลาที่กำลังตั้งครรภ์ มักจะเป็นช่วงที่คุณแม่เครียดมากที่สุด เพราะมีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความกังวลใจได้หลายอย่าง แต่ทราบหรือไม่ว่าหากคนท้องเครียดมากจนเกินไปอาจส่งผลให้เกิดภาวะ Fetal Distress ที่เป็นอันตรายต่อทารกได้ ภาวะนี้คืออะไร และแม่ตั้งครรภ์จะต้องระวังหรือป้องกันอะไรบ้าง กระปุกดอทคอมจะพาไปหาคำตอบว่า Fetal Distress คืออะไรกันค่ะ Fetal distress คือ การที่ทารกอยู่ในภาวะเครียดขณะอยู่ในครรภ์และแสดงสัญญาณต่าง ๆ ออกมา ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้ทารกเกิดภาวะนี้ อาทิ ระยะเวลาก่อนถึงกำหนดคลอด ปฏิกิริยาต่อยา หรือปัญหาเกี่ยวกับสายสะดือหรือรก โดยจะเป็นภาวะที่แพทย์ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของทารก หากไม่ให้คลอดโดยเร็วทารกอาจจะเกิดอันตราย และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งต่อคุณแม่และทารกได้ ซึ่งผลกระทบระยะยาวของภาวะนี้ โดยเฉพาะการขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน อาจจะทำให้สมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือน สมองพิการ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตขณะคลอดได้ สาเหตุหลักใหญ่ ๆ ของภาวะ Fetal Distress คือ การที่ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ตามปกติแล้วคุณแม่จะหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปในปอด จากนั้นปอดก็จะส่งออกซิเจนไปยังเลือดและรก ส่งต่อไปยังเลือดของทารกในครรภ์ ซึ่งหากมีกระบวนการใดที่ไม่ถูกต้องและขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนก็อาจนำไปสู่ภาวะ Fetal Distress ได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีก เช่น คุณแม่มีการหดเกร็งกล้ามเนื้อบ่อยเกินไป โรคโลหิตจางของทารกในครรภ์ ภาวะน้ำคร่ำต่ำ ความดันโลหิตสูงในคุณแม่ที่เกิดจากการตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ คุณแม่มีความดันโลหิตต่ำผิดปกติ การตั้งครรภ์นานเกินไป (41 สัปดาห์ขึ้นไป) ทารกในครรภ์เติบโตช้าผิดปกติ หรือมีขนาดตัวเล็กมาก รกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะรกเกาะต่ำ รกมีการบีบตัว คุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคหัวใจ สำหรับคุณแม่ที่กำลังเครียดว่าจะสังเกตได้อย่างไร หรือสงสัยว่าลูกของเราจะมีภาวะที่น่าเป็นห่วงนี้หรือไม่ ให้สังเกตสัญญาณดังนี้ การเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นหัวใจของทารกในครรภ์ (อัตราที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าปกติ) ทารกในครรภ์เคลื่อนไหวน้อยลงเป็นระยะเวลานาน คุณแม่มีภาวะน้ำคร่ำต่ำ หากเกิดภาวะ Fetal Distress แล้ว และจำเป็นต้องคลอดเด็กออกมาให้เร็วที่สุด คุณหมอและผู้เชี่ยวชาญจะทำการช่วยเหลือควบคู่กับการรักษา ดังนี้ เปลี่ยนท่าทางและตำแหน่งของคุณแม่ โดยการขยับของคุณแม่นั้นอาจเพิ่มการไหลเวียนของเลือดกลับสู่หัวใจและช่วยให้ออกซิเจนแก่ทารกในครรภ์เพิ่มขึ้นได้ ให้คุณแม่สวมหน้ากากออกซิเจน ให้ของเหลวผ่านทางสาย IV ให้ยาเพื่อชะลอหรือหยุดการหดตัวของกล้ามเนื้อคุณแม่และสายสะดือ การเติมน้ำคร่ำด้วยวิธีการใส่ของเหลวในถุงน้ำคร่ำ เพื่อลดการบีบตัวของสายสะดือ ตามปกติแล้วไม่มีวิธีการป้องกันภาวะความเครียดของทารกในครรภ์ได้ เรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจคาดคิดเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม การพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดูแลสุขภาพครรภ์ให้แข็งแรง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะที่นำไปสู่ภาวะ Fetal Distress ได้ นอกจากนี้คุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองและความผิดปกติในครรภ์ตลอดเวลา และปรึกษาแพทย์ทุกเรื่อง เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที จะเห็นได้ว่าภาวะ Fetal Distress หรือภาวะเครียดของทารกในครรภ์ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกได้เลย ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องห้ามละเลยในการสังเกตตัวเองและลูกในท้อง เพื่อทำให้เกิดภาวะนี้น้อยที่สุดค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : clevelandclinic.org, thevillarifirm.com, pregnancybirthbaby.org.au, med.cmu.ac.th
แสดงความคิดเห็น