อาหารเพิ่มภูมิต้านทาน (MODERNMOM)
เรื่อง : ดวงทิพทย์ อโรรา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผู้หญิง และด้านอาหารแบบองค์รวม ผู้เขียนหนังสือ "A New Age Manual for The New Mother Post Natural and Beyond"
จากภูมิปัญญาที่เป็นอมตะแห่งศาสตร์อายุเรวท บ่งบอกว่า มนุษย์ที่แข็งแรง ก็คือมนุษย์ที่มีภูมิต้านทาน กล้าแกร่งซึ่งเป็นการต่อต้านที่ดีที่สุดของร่างกาย หากมีการติดเชื้อและแบคทีเรียทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราควรจะพัฒนา และเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ภูมิต้านทานของลูกกันตั้งแต่เนิ่น ๆ
โอจาส์ พลังสำคัญของภูมิต้านทาน
โอจาส์ หากอธิบายอย่างง่าย ๆ หมายความถึงพลังสำคัญของระบบภูมิต้านทานที่ไม่สามารถจับหรือสัมผัสได้อย่างชัดเจนในร่างกาย เป็นความละเอียดลึกซึ้งในตัวเราที่เกี่ยวข้องถึงพลังชีวิต ภูมิต้านทาน และความมีสุขภาพดีหรือเป็นเรี่ยวแรงแห่งชีวิตในรูปแบบของกิจกรรมการเผาผลาญทั้งหมดของเรา การบำรุงโอจาส์สามารถทำได้ด้วย การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพสำคัญลูกน้อย เป็นต้นว่า ผลไม้ ผักที่ปลอดสารพิษ ธัญญาหาร และถั่วฝักต่าง ๆ หรือกลุ่มอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงโอจาส์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อต้านแบคทีเรีย ต้านอนุมูลอิสระ และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง
น้ำนมแม่
เป็นแหล่งรวมสารอาหารที่ดีที่สุด ช่วยป้องกันการติดเชื้อให้แก่ลูกน้อยวัยทารกอย่างน้อยในช่วงหกเดือนแรก หรือสามารถให้ได้นานถึงสองปี หรือจนกระทั่งลูกมีความพร้อมในการกินอาหารแบบกึ่งอาหารแข็งได้แล้ว ก็สามารถรับสารอาหารอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างภูมิต้านทานได้
กี (เนยใส ที่ได้จากน้ำนมโคปลอดสารพิษ)
กีหรือเนยใสมีสรรพคุณช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กได้ดี เพราะมีวิตามินเอ ดี อี และเคสูง ตลอดจนมีกรดไขมันและความชุ่มชื้นจากธรรมชาติ และลงลึกเข้าไปหล่อเลี้ยงบำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อชั้นใน รวมถึงเซลล์สมองได้ ในทางอายุรเวทจะแนะนำให้แม่ที่กำลังทำงานกินกีอย่างสม่ำเสมอ
กีได้รับการพิสูจน์และค้นพบถึงสรรพคุณในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วว่า เป็นน้ำมันสำหรับประกอบอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็นสูง (ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้โดยธรรมชาติ และจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร) และร่างกายเราต้องการกรดไขมันเหล่านี้ ในการบำรุงและปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ นอกจากนี้ยังสามารถแตกตัวเข้าไปบำรุงสมองของลูกน้อยในครรภ์ได้อีกด้วย ซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เนื่องจากการขาดกรดไขมันที่จำเป็น (อย่างโอเมก้า 3 และ 6) ในเด็ก จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในสมองได้
วิธีง่าย ๆ ในการใช้กี
ใช้กี 1 ช้อนชาผสมกับนมให้ลูกดื่มเป็นประจำทุกวัน
เติมกีลงในซุป หรือข้าวบดต่าง ๆ และสามารถใช้กีเป็นน้ำมันประกอบอาหารได้
กีมักจะถูกนำมาใช้เป็นน้ำมันนวดตัว ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เนื่องจากมีสรรพคุณเยี่ยมยอดในการบำรุงผิวพรรณให้มีน้ำมีนวล
ข้อควรรู้
สำหรับผู้ที่มีปัญหาคอเลสเตอรอล หรือไม่สามารถเผาผลาญคอเลสเตอรอลได้อย่างหมดจด ควรจะได้รับการตรวจระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ หากมีการใช้กีเป็นประจำ และหากมีปัญหาเกิดขึ้น ควรที่จะจำกัดการใช้ หรือให้หยุดใช้กีไปเลย
ไม่ควรดื่มน้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น หลังจากบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของกี เนื่องจากจะทำให้ย่อยได้ไม่ดี ควรจะเลือกดื่มน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพรอุ่น ๆ จะดีกว่า
อัลมอนด์
ตามหลักอายุรเวท อัลมอนด์มีสรรพคุณที่โดดเด่นกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ ด้วยคุณสมบัติช่วยหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูร่างกายได้ดี อย่างการดื่มน้ำนมอัลมอนด์ เพื่อบำรุงสายตา และร่างกาย และยังช่วยเรียกน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่กำลังให้นมลูก พร้อมอุดมไปด้วย แคลเซียม สังกะสี และแมกนีเซียม ตลอดจน วิตามินเอ และอี ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกาย และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมักจะแนะนำให้คนไข้กินอัลมอนด์ เพราะมีปริมาณคอเลสเตอรอล และมีไขมันอิ่มตัวต่ำ จึงปลอดภัยต่อหัวใจ
วิธีง่าย ๆ ในการใช้อัลมอนด์
ตามหลักอายุรเวท แนะนำให้เอาอัลมอนด์ 5-10 เมล็ด มาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาลอกเปลือก จะทำให้อัลมอนด์ย่อยได้ง่ายขึ้น แล้วนำมากินในตอนเช้า
อัลมอนด์จัดเป็นอาหารที่หนักสำหรับทารก แนะนำให้รอจนลูกเข้าสู่วัยเตาะแตะ หรืออย่างน้อยก็ต้องให้อายุเกิน 7-8 เดือน หรือดูให้แน่ใจว่าระบบการย่อยของลูกทำงานได้ดีก่อน จึงเตรียมอัลมอนด์ให้แก่ลูกน้อยได้ ด้วยการนำอัลมอนด์ที่แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วไปผสมกับข้าวบด หรือธัญญาหารบด
ข้อควรรู้
ไม่ควรให้ลูกกินอัลมอนด์ในขณะที่มีอาการท้องผูก
โยเกิร์ต
โยเกิร์ตมีโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม และโพแทสเซียม และมีไขมันต่ำ ช่วยในการย่อยอาหารและกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ทำลายแบคทีเรียตัวร้ายในระบบทางเดินอาหาร และได้รับการยกย่องในทางอายุรเวทมากว่า 5,000 ปีว่าเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างโอจาส์
วิธีง่าย ๆ ในการใช้โยเกิร์ต
โยเกิร์ตที่ทำเองเหมาะเป็นอาหารยามท้องเสีย อ่อนแรงเพราะมีไข้ ฯลฯ (แต่ควรเอาโยเกิร์ตออกจากตู้เย็น แล้วรอจนหายเย็นก่อน จึงค่อยนำมากิน)
โยเกิร์ตเป็นเครื่องเคียงที่ดีสำหรับอาหารอินเดียมากมายหลายชนิด ทั้งในแบบเติมแต่งด้วยเครื่องเทศ หรือนำมาคู่กันกับผักสด เช่น แตงกวา แครอต ฯลฯ
ข้อควรรู้
สำหรับเด็กทารก ควรรอให้อายุเกิน 6 เดือนก่อน หรือว่าเริ่มกินอาหารแบบกึ่งแข็งก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มต้นให้โยเกิร์ต เนื่องจากโยเกิร์ตจะมีรสออกเปรี้ยวตามธรรมชาติ
ควรจะมั่นใจว่าโยเกิร์ตมีความสดและมีรสหวานตามธรรมชาติ แต่ไม่เปรี้ยวจนเกินไป เนื่องจากโยเกิร์ตที่ออกรสเปรี้ยวเกินไปจะทำให้ท้องเสียได้
ไม่แนะนำให้ผสมผลไม้ลงในโยเกิร์ตหรือกินโยเกิร์ตกับผลไม้ เพราะตามหลักอายุรเวท ผลไม้กับอาหารประเภทนม เช่น โยเกิร์ต จัดเป็นอาหารที่ไม่ถูกกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรไทย ๆ ที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานของลูกที่หาได้ง่ายตามครัวของคุณแม่เองด้วย ฉบับหน้าเราจะมาเฉลยให้ดูว่ามีอะไรกันบ้างค่ะ
วิธีทำโยเกิร์ตง่าย ๆ
เราสามารถทำโยเกิร์ตได้เองที่บ้านอย่างง่าย ๆ ด้วยการผสมโยเกิร์ต 1 ช้อนชา ลงในนมอุ่น ๆ 1 ชาม ปิดฝาทิ้งไว้ในที่อุ่น ๆ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เมื่อนมเริ่มจับตัวข้น ให้นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น รอให้เย็นและอร่อยจึงค่อยนำมาเสิร์ฟ
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของ เพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Vol.17 No.198 เมษายน 2555