สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่มีลูกยาก การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ประสบความสำเร็จ แต่ใครหลายคนอาจสงสัยว่า IVF หรือ เด็กหลอดแก้ว คืออะไร และจะมีขั้นตอนหรือวิธีเตรียมตัวก่อนทำ IVF อย่างไรบ้าง วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มาฝากกันแล้วค่ะ
ปัจจุบันมีสารพัดวิธีที่ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การตั้งท้องด้วยการทำกิฟต์ การทำอิ๊กซี่ (ICSI) หรือแม้แต่การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF แต่ทั้งนี้หลายคนอาจยังไม่ค่อยเข้าใจชัดเจนว่า การทำเด็กหลอดแก้ว คืออะไร และจะมีขั้นตอน หรือวิธีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยได้นำข้อมูลและความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ IVF หรือ เด็กหลอดแก้ว มาฝากกันแล้วค่ะ
เด็กหลอดแก้วคืออะไร
เด็กหลอดแก้ว หรือ In-Vitro Fertilization (IVF) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยาก โดยนำไข่ของผู้หญิงและอสุจิของผู้ชาย มาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ จนเกิดเป็นตัวอ่อนของทารก จากนั้นจึงนำไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการฝังตัวและเข้าสู่กระบวนการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้คำว่า "เด็กหลอดแก้ว" มาจากขั้นตอนการทำให้เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งมักจะทำกันในหลอดทดลอง หลอดแก้ว หรือ จานแก้ว จึงเป็นสาเหตุให้เด็กที่เกิดด้วยวิธีนี้ถูกเรียกว่า เด็กหลอดแก้ว นั่นเองค่ะ
การทำ IVF เหมาะสำหรับใคร
1. ฝ่ายหญิงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบท่อนำไข่ผิดปกติ เช่น ถูกผ่าตัด มีการอุดตัน เป็นต้น
2. ฝ่ายหญิงมีภูมิต้านทานต่อตัวอสุจิในมูกปากมดลูกหรือในกระแสโลหิต
3. ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
4. ฝ่ายหญิงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบฮอร์โมนรังไข่ผิดปกติ เช่น ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ภาวะรังไข่เสื่อม
5. ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
6. ฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับเชื้ออสุจิ เช่น จำนวนตัวอสุจิน้อยกว่าปกติมาก อสุจิเคลื่อนไหวช้า หรือมีรูปร่างผิดปกติ
7. ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
8. คู่สมรสมีบุตรยากมานานกว่า 3 ปี หรือมากกว่า โดยหาสาเหตุแล้วไม่พบความผิดปกติ
การเตรียมตัวก่อนทำเด็กหลอดแก้ว
หากคุณและคู่ของคุณตัดสินใจที่จะทำเด็กหลอดแก้ว ขั้นตอนแรกคือต้องไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับทราบถึงข้อจำกัด รวมทั้งรับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน ถ้าเป็นฝ่ายหญิงจะต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เช่น ทดสอบการทำงานของรังไข่ ทดสอบการถ่ายฝากตัวอ่อน ทดสอบโพรงมดลูก และคัดกรองภาวะติดเชื้อเช่นเดียวกับฝ่ายชาย ที่จะต้องมีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพของน้ำอสุจิเพิ่มด้วย
โดยก่อนที่จะทำการฝากไข่หรือฝากน้ำเชื้อ ทั้งคู่สามีภรรยาควรปฏิบัติตนและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด โดยฝ่ายหญิงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 2 ลิตร และรับประทานโปรตีนอย่างน้อยวันละประมาณ 60 มิลลิกรัม เพื่อให้ไข่มีคุณภาพดีและสมบูรณ์ ส่วนฝ่ายชายควรงดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 3 วันก่อนการเก็บเชื้ออสุจิ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำอุ่นหรือการทำซาวน่า และไม่สวมใส่กางเกงชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป ที่สำคัญคุณทั้งคู่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไปค่ะ
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)
1. ควบคุมรอบเดือนและกระตุ้นการตกไข่
ฝ่ายหญิงจะต้องควบคุมให้ประจำเดือนมาตามปกติ จากนั้นแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูฮอร์โมน AMH และอัลตราซาวด์ เพื่อช่วยประเมินจำนวนไข่และตรวจดูความพร้อมก่อนทำการกระตุ้น โดยแพทย์จะเริ่มฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ ในช่วงวันที่ 2-3 ของรอบเดือน และทำการฉีดยาทางหน้าท้องทุกวันเพื่อกระตุ้นไข่ โดยจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน
2. ตรวจสอบความคืบหน้า
แพทย์จะตรวจสอบความคืบหน้าด้วยการอัลตราซาวด์เพื่อดูจำนวนและขนาดของไข่ หรือตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย จากนั้นจะฉีดฮอร์โมนเข็มสุดท้ายเมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก ประมาณ 34-38 ชั่วโมงก่อนการเก็บไข่
3. เก็บไข่รอการผสม
แพทย์จะให้ยาชาหรือยาสลบแก่ผู้ป่วยแล้วจึงใช้เข็มดูดไข่ออกมาผ่านทางช่องคลอด โดยใช้การอัลตราซาวด์ร่วมด้วย โดยใช้เวลาในการเก็บประมาณ 15-20 นาที เมื่อเก็บไข่เสร็จเรียบร้อย แพทย์จะใช้ฮอร์โมนสอดหรือฉีดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเตรียมผนังมดลูกของฝ่ายหญิงให้พร้อมสำหรับการย้ายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว เข้ามาเพื่อการตั้งครรภ์ต่อไป
4. ผสมไข่กับอสุจิ
ในวันที่เก็บไข่ ฝ่ายชายจะต้องทำการเก็บเชื้ออสุจิเพื่อใช้ในการปฏิสนธิด้วย จากนั้นแพทย์จะนำไข่ที่เก็บจากฝ่ายหญิง และคัดเลือกเชื้ออสุจิที่แข็งแรงที่สุดจากฝ่ายชายไปผสมจนเกิดการปฏิสนธิ พร้อมกับเลี้ยงและควบคุมคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการ
5. ตรวจสอบตัวอ่อนในหลอดทดลอง
หลังจากทำการผสมไข่กับเชื้ออสุจิในหลอดทดลองแล้ว แพทย์จะตรวจผลว่ามีการปฏิสนธิหรือไม่ หลังผ่านไป 16-20 ชั่วโมง หากมีการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะเติบโตในอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ จากนั้นแพทย์จะนัดหมายกับผู้ป่วยเพื่อฉีดตัวอ่อนให้เข้าไปฝังตัวในมดลูกในขั้นต่อไป
6. ย้ายตัวอ่อนเข้าสู่มดลูก
เมื่อไข่และอสุจิที่ผสมกันแล้วกลายเป็นตัวอ่อน ก็จะพร้อมย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกภายใน 3-5 วัน โดยแพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดแล้วฉีดกลับเข้าไปในมดลูก ผ่านทางท่อที่สอดผ่านช่องคลอดไปถึงมดลูก ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับยาชาหรือยาสลบแต่อย่างใด
7. ตรวจการตั้งครรภ์
หลังถ่ายฝากตัวอ่อนเข้าไปในมดลูก ผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาสุขภาพสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยกเว้นบางรายที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น รังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป โดยผู้หญิงที่ได้รับการถ่ายฝากตัวอ่อนแล้วต้องมาพบแพทย์หลังจากนั้นประมาณ 12-14 วัน เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ และต้องใช้ยาหรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่อไปอีก 8-10 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ซึ่งมีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และป้องกันการแท้งลูก
การดูแลตัวเองหลังทำเด็กหลอดแก้ว
แม้ขั้นตอนการถ่ายฝากตัวอ่อนจะเสร็จลุล่วงแล้ว แต่ฝ่ายหญิงก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเอง และพักผ่อนให้มาก ๆ โดยเฉพาะในช่วง 3-4 วันแรก ไม่ควรทำงานหนัก เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือเดินทางไกล อีกทั้งยังไม่ควรมีเพศสัมพันธ์และงดการสวนล้างช่องคลอด ไม่รับประทานยานอกเหนือจากแพทย์สั่ง และควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง ปวดท้อง ปวดอุ้งเชิงกราน มีเลือดออกจากช่องคลอด หรือมีตกขาวมากผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ที่ดูแลทันที
เด็กหลอดแก้ว หรือ IVF มีราคาและค่าใช้จ่ายเท่าไร
การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก ที่ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ในการทำต่อครั้งจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100,000-300,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช หรือโรงพยาบาลของเอกชน เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิติเวช เป็นต้น
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้คู่สมรสที่มีลูกยากหันมาพึ่งวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF กันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ฝ่ายหญิงก็ไม่ควรเครียดหรือวิตกกังวลกับผลมากจนเกินไป พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ก็จะช่วยส่งเสริมให้ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกได้อย่างสมบูรณ์ และเจริญเติบโตเป็นทารกที่แข็งแรงต่อไปค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : honestdocs.co, pobpad.com, vichaiyut.co.th, th.wikipedia.org
เด็กหลอดแก้ว หรือ In-Vitro Fertilization (IVF) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยาก โดยนำไข่ของผู้หญิงและอสุจิของผู้ชาย มาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการ จนเกิดเป็นตัวอ่อนของทารก จากนั้นจึงนำไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการฝังตัวและเข้าสู่กระบวนการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้คำว่า "เด็กหลอดแก้ว" มาจากขั้นตอนการทำให้เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งมักจะทำกันในหลอดทดลอง หลอดแก้ว หรือ จานแก้ว จึงเป็นสาเหตุให้เด็กที่เกิดด้วยวิธีนี้ถูกเรียกว่า เด็กหลอดแก้ว นั่นเองค่ะ
การทำ IVF เหมาะสำหรับใคร
1. ฝ่ายหญิงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบท่อนำไข่ผิดปกติ เช่น ถูกผ่าตัด มีการอุดตัน เป็นต้น
2. ฝ่ายหญิงมีภูมิต้านทานต่อตัวอสุจิในมูกปากมดลูกหรือในกระแสโลหิต
3. ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
4. ฝ่ายหญิงมีปัญหาเกี่ยวกับระบบฮอร์โมนรังไข่ผิดปกติ เช่น ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ภาวะรังไข่เสื่อม
5. ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
6. ฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับเชื้ออสุจิ เช่น จำนวนตัวอสุจิน้อยกว่าปกติมาก อสุจิเคลื่อนไหวช้า หรือมีรูปร่างผิดปกติ
7. ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
8. คู่สมรสมีบุตรยากมานานกว่า 3 ปี หรือมากกว่า โดยหาสาเหตุแล้วไม่พบความผิดปกติ
หากคุณและคู่ของคุณตัดสินใจที่จะทำเด็กหลอดแก้ว ขั้นตอนแรกคือต้องไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับทราบถึงข้อจำกัด รวมทั้งรับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน ถ้าเป็นฝ่ายหญิงจะต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เช่น ทดสอบการทำงานของรังไข่ ทดสอบการถ่ายฝากตัวอ่อน ทดสอบโพรงมดลูก และคัดกรองภาวะติดเชื้อเช่นเดียวกับฝ่ายชาย ที่จะต้องมีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพของน้ำอสุจิเพิ่มด้วย
โดยก่อนที่จะทำการฝากไข่หรือฝากน้ำเชื้อ ทั้งคู่สามีภรรยาควรปฏิบัติตนและดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด โดยฝ่ายหญิงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 2 ลิตร และรับประทานโปรตีนอย่างน้อยวันละประมาณ 60 มิลลิกรัม เพื่อให้ไข่มีคุณภาพดีและสมบูรณ์ ส่วนฝ่ายชายควรงดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 3 วันก่อนการเก็บเชื้ออสุจิ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำอุ่นหรือการทำซาวน่า และไม่สวมใส่กางเกงชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป ที่สำคัญคุณทั้งคู่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเข้ารับการรักษา นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไปค่ะ
1. ควบคุมรอบเดือนและกระตุ้นการตกไข่
ฝ่ายหญิงจะต้องควบคุมให้ประจำเดือนมาตามปกติ จากนั้นแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูฮอร์โมน AMH และอัลตราซาวด์ เพื่อช่วยประเมินจำนวนไข่และตรวจดูความพร้อมก่อนทำการกระตุ้น โดยแพทย์จะเริ่มฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ ในช่วงวันที่ 2-3 ของรอบเดือน และทำการฉีดยาทางหน้าท้องทุกวันเพื่อกระตุ้นไข่ โดยจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน
2. ตรวจสอบความคืบหน้า
แพทย์จะตรวจสอบความคืบหน้าด้วยการอัลตราซาวด์เพื่อดูจำนวนและขนาดของไข่ หรือตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย จากนั้นจะฉีดฮอร์โมนเข็มสุดท้ายเมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก ประมาณ 34-38 ชั่วโมงก่อนการเก็บไข่
3. เก็บไข่รอการผสม
แพทย์จะให้ยาชาหรือยาสลบแก่ผู้ป่วยแล้วจึงใช้เข็มดูดไข่ออกมาผ่านทางช่องคลอด โดยใช้การอัลตราซาวด์ร่วมด้วย โดยใช้เวลาในการเก็บประมาณ 15-20 นาที เมื่อเก็บไข่เสร็จเรียบร้อย แพทย์จะใช้ฮอร์โมนสอดหรือฉีดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเตรียมผนังมดลูกของฝ่ายหญิงให้พร้อมสำหรับการย้ายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว เข้ามาเพื่อการตั้งครรภ์ต่อไป
4. ผสมไข่กับอสุจิ
ในวันที่เก็บไข่ ฝ่ายชายจะต้องทำการเก็บเชื้ออสุจิเพื่อใช้ในการปฏิสนธิด้วย จากนั้นแพทย์จะนำไข่ที่เก็บจากฝ่ายหญิง และคัดเลือกเชื้ออสุจิที่แข็งแรงที่สุดจากฝ่ายชายไปผสมจนเกิดการปฏิสนธิ พร้อมกับเลี้ยงและควบคุมคุณภาพภายในห้องปฏิบัติการ
หลังจากทำการผสมไข่กับเชื้ออสุจิในหลอดทดลองแล้ว แพทย์จะตรวจผลว่ามีการปฏิสนธิหรือไม่ หลังผ่านไป 16-20 ชั่วโมง หากมีการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะเติบโตในอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ จากนั้นแพทย์จะนัดหมายกับผู้ป่วยเพื่อฉีดตัวอ่อนให้เข้าไปฝังตัวในมดลูกในขั้นต่อไป
6. ย้ายตัวอ่อนเข้าสู่มดลูก
เมื่อไข่และอสุจิที่ผสมกันแล้วกลายเป็นตัวอ่อน ก็จะพร้อมย้ายเข้าสู่โพรงมดลูกภายใน 3-5 วัน โดยแพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดแล้วฉีดกลับเข้าไปในมดลูก ผ่านทางท่อที่สอดผ่านช่องคลอดไปถึงมดลูก ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับยาชาหรือยาสลบแต่อย่างใด
7. ตรวจการตั้งครรภ์
หลังถ่ายฝากตัวอ่อนเข้าไปในมดลูก ผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาสุขภาพสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยกเว้นบางรายที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น รังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป โดยผู้หญิงที่ได้รับการถ่ายฝากตัวอ่อนแล้วต้องมาพบแพทย์หลังจากนั้นประมาณ 12-14 วัน เพื่อตรวจการตั้งครรภ์ และต้องใช้ยาหรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่อไปอีก 8-10 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยให้ผนังมดลูกหนาขึ้น ซึ่งมีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และป้องกันการแท้งลูก
การดูแลตัวเองหลังทำเด็กหลอดแก้ว
แม้ขั้นตอนการถ่ายฝากตัวอ่อนจะเสร็จลุล่วงแล้ว แต่ฝ่ายหญิงก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเอง และพักผ่อนให้มาก ๆ โดยเฉพาะในช่วง 3-4 วันแรก ไม่ควรทำงานหนัก เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือเดินทางไกล อีกทั้งยังไม่ควรมีเพศสัมพันธ์และงดการสวนล้างช่องคลอด ไม่รับประทานยานอกเหนือจากแพทย์สั่ง และควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง ปวดท้อง ปวดอุ้งเชิงกราน มีเลือดออกจากช่องคลอด หรือมีตกขาวมากผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ที่ดูแลทันที
การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก ที่ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ในการทำต่อครั้งจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100,000-300,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช หรือโรงพยาบาลของเอกชน เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิติเวช เป็นต้น
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้คู่สมรสที่มีลูกยากหันมาพึ่งวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF กันมากขึ้น แต่ทั้งนี้ฝ่ายหญิงก็ไม่ควรเครียดหรือวิตกกังวลกับผลมากจนเกินไป พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ก็จะช่วยส่งเสริมให้ตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกได้อย่างสมบูรณ์ และเจริญเติบโตเป็นทารกที่แข็งแรงต่อไปค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : honestdocs.co, pobpad.com, vichaiyut.co.th, th.wikipedia.org