5 นิสัยทำสมองลูกเลิฟไม่แล่น (M&C แม่และเด็ก)
แม้ว่าสมองมนุษย์จะวิเศษเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนเปราะบางอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ได้ง่าย ทั้งสารเคมี และกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ที่เสมือนไม่มีตัวตน แต่ก็เป็นตัวการสำคัญทำลายสมองของลูกน้อยมาก ๆ ค่ะ จากคนที่เก่ง ๆ ตอนเด็กโตขึ้นมา กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้สมองได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเอาซะเลย
อดนอน
การนอนดึกส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองมากๆ ค่ะ ซึ่งจากผลการศึกษาในวารสารเนเวอร์ นิวส์ไซแอนท์ โดยนักวิจัยแพทย์ฮาร์วาร์ดระบุว่า การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส อันเป็นสมองที่บันทึกความทรงจำใหม่ หลังพบจากการศึกษาว่า อาสาสมัครที่อดนอน ทำคะแนนในการทดสอบความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากได้นอนหลับที่เพียงพอ
อาหารเช้าสำคัญ
โดยปกติตื่นเช้ามา ร่างกายจะมีระดับน้ำตาลที่ต่ำ และยิ่งสมองของเด็กในวัยเรียนด้วยแล้ว เขาต้องการน้ำตาลป้อนให้สมองใช้ เมื่อร่างกายขาดน้ำตาล แถมร่างกายเด็ก ๆ เป็นกรดเพราะร่างกายต้องละลายไขมันออกมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้สมองล้าอ่อนเพลีย ทำงานไม่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ อาหารเช้าที่ดี ควรประกอบด้วยอาหาร 3 กลุ่มคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ผักผลไม้สด และโปรตีน จึงจะเป็นอาหารเช้าที่มีคุณภาพสำหรับสมอง และพลังงานในการเรียนค่ะ
มลพิษ
เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ค่ะ สำหรับเจ้ามลพิษ ไม่ว่าจะทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง คนส่วนใหญ่รู้ว่า เจ้าตะกั่วและปรอท มีผลทำร้ายสมองนั่นก็คือ IQ แม้จะปริมาณไม่มากก็ตาม เพราะถูกจัดเป็นสารเคมีควบคุม แต่ก็มีอีกสารควบคุมอีกกว่า 200 ชนิดที่ไม่ใช่สารควบคุม สารพิษและมลภาวะเหล่านี้ ต่างปะปนอยู่รอบๆ ตัวเราและลูกๆ ทั้งนั้น หนทางที่ดีก็ควรควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดค่ะ
นอนคลุมโปง
ปกติหากไม่มีอาการกลัวผีแล้วล่ะก็ คงไม่ค่อยมีเด็กคนไหนนอนคลุมโปงสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะร้อนแล้ว ยังหายใจไม่ออกอีกด้วย แต่ถ้าหากเจ้าตัวเล็กมีอาการชอบนอนคลุมโปงบ่อย ๆ แล้วล่ะก็ ไม่ดีแน่ เพราะปกติเมื่อเราหายใจออกก็จะเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ออกมาด้วย และเมื่อเกิดมีนิสัยแปลก ๆ ชอบนอนคลุมโปงด้วยแล้ว ลูกก็จะหายใจเอาก๊าซที่ว่าเข้าไปด้วย หากคลุมโปงนาน ๆ ด้วยแล้ว เป็นตัวการใหญ่เลยค่ะ ซึ่งทำลายประสิทธิภาพสมองเป็นอันมาก
คอมพิวเตอร์...อีกตัวการ
สมัยนี้ พ่อแม่หลาย ๆ คนอาจคิดว่า การเล่นคอมพิวเตอร์เร็ว ก็จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ทักษะต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น แต่ ดร.เอริก ชิกแมน นักฟิลิกส์ชาวอังกฤษกล่าวว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะทำร้ายสมองส่วนที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของเด็ก โดยเป็นตัวการทำลายการพัฒนาทักษะกระบวนการรับรู้และความคิด ถ้าจะเริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาทักษะ ควรจะเริ่มเมื่อโตสักหน่อย อย่างน้อยอายุ 9 ขวบ ไปแล้วจะดีกว่า
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของ เพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
คลิกอ่านความคิดเห็นของ เพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ปีที่ 34 ฉบับที่ 466 ธันวาคม 2553