แชร์ประสบการณ์คุณแม่ ! ใครที่กำลังปวดหัวกับการหาวิธีแก้ปัญหาลูกติดแท็บเล็ต-มือถือ วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีแก้ไขแบบที่คุณลูกไม่ต้องเสียน้ำตา แต่เห็นผลภายใน 7 วันมาฝากกันค่ะ
บ่อยครั้งที่คุณแม่หลาย ๆ คนต้องปวดหัวและหนักใจกับการหาวิธีแก้ปัญหาลูก ๆ ติดแท็บเล็ต มือถือ ไอแพด และไอโฟน ซึ่งในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกบ้านที่เลี้ยงลูกจะต้องนำอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านี้มาเป็นตัวช่วยเลี้ยงลูก เล่นกับลูก จนนาน ๆ เข้ากลายเป็นลูกติดแท็บเล็ต มือถือ หากไม่ได้ดั่งใจก็จะต้องร้องไห้งอแงอยู่เป็นประจำ ซึ่งปัญหานี้คุณพ่อคุณแม่หลายคนแก้ไม่ตก ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ?
ซึ่งไม่เป็นไรค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีเทคนิคปราบอาการติดแท็บเล็ต-มือถือของลูกน้อยมาฝากกันแล้ว ซึ่งวิธีนี้เป็นประสบการณ์ตรงของคุณ 2789255 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งเธอจะมาเล่าสู่กันฟัง เพราะเธอสามารถทำให้ลูกน้อยเลิกติดแท็บเล็ต-มือถือ ได้อย่างเห็นผลโดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น แถมลูกน้อยของเธอยังไม่ร้องไห้งอแงอีกด้วย เอ้า ! ดูสิว่าเธอจะมีวิธีรับมือกับปัญหานี้อย่างไร มาติดตามกันเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------
เราเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคสมัยนี้หลายคน คงหนักใจกันไม่น้อยกับปัญหาลูกติดจอ ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต ไอแพด ไอโฟน คุณเชื่อมั้ยว่าก่อนคลอดลูกนะ เราก็เป็นคุณแม่คนหนึ่งที่ปฏิญาณตนไว้ดิบดี ว่าถ้าฉันเลี้ยงลูกนะ ฉันจะไม่ให้ลูกดูทีวี ไอแพด ไอโฟนก่อนสามขวบเป็นอันขาด แถมเวลาเห็นพ่อแม่ที่ให้ลูกดูไอแพดนั่งในรถเข็นตอนเดินห้าง เราก็คิดในใจว่า ทำไมน้อ ? เขาไม่รู้เหรอว่ามันไม่ดี ?
จนพอมาประสบพบเจอเข้ากับตัวเอง ถึงได้รู้ซึ้ง เริ่มจากลูกสาวอายุขวบครึ่ง เริ่มเข้าสู่วัยกำลังซน ยุกยิกไม่อยู่กับที่ แรก ๆ สามีเราจะชอบเปิดพวกคลิปเพลงเด็กภาษาอังกฤษให้แกฟัง เพื่อให้ลูกอยู่นิ่ง ๆ เลี้ยงง่าย เวลาที่แกซุกซน และเพราะเห็นแกชอบดู และเต้นสนุกสนานไปตามเพลง แรก ๆ เราก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย (บ้าจี้อะนะ) คิดว่าคงไม่แย่อย่างที่คิดหรอกมั้ง ดูสิ ! ลูกจำคำศัพท์จากในคลิปได้ตั้งหลายคำ (บ้านเราสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก) เราก็คิดว่าดีจังเลย ลูกจะได้ฟังภาษาอังกฤษจากที่อื่นนอกเหนือจากพ่อกับแม่บ้าง จากที่ให้ดูแค่ 5-10 นาที ก็เริ่มนานขึ้น นานขึ้น เป็นเกือบ ๆ ชั่วโมง และก็เริ่มบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นดูก่อนนอนกันเลยทีเดียว (คือเอาไอแพดส่งลูกเข้านอน ลูกก็ดูจนหลับคาไอแพด)
เป็นแบบนี้มาเกือบสองอาทิตย์ จนเราเริ่มไม่ค่อยสบายใจว่า นี่เราทำถูกต้องแล้วจริง ๆ เหรอ ? แล้วผลเสียต่าง ๆ ที่เราเคยอ่านเจอล่ะ ? มันจะส่งผลกับลูกเราไหม ? คิดอยู่ในใจ จนหลัง ๆ มาเริ่มสังเกตพฤติกรรมลูกอย่างจริงจัง อย่างแรกเลยที่เราเห็นคือลูกเริ่มดูไม่จบคลิป คือดู ๆ ไม่ทันไรจะจิ้มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ยอมให้เปลี่ยนก็จะเริ่มโวยวาย อันนี้อาจเป็นสัญญาณของสมาธิสั้น (คิดเอาเอง) ต่อมาคือ พอเห็นไอแพดหรือไอโฟนที่ไหน จะเริ่มรบเร้าขอดูตลอด อันนี้ก็เป็นสัญญาณว่าเริ่มติดแล้ว และยังมีนิสัยใจร้อน รอไม่เป็นเพิ่มมาเป็นของแถมอีกด้วย จนในที่สุด เราตัดสินใจว่า ไม่ได้การละ ! ขืนปล่อยให้ดูต่อไป ลูกฉันกลายเป็น Monster แน่ ๆ ปฏิบัติการปฏิวัติขนาดย่อมครั้งนี้จึงเริ่มขึ้น !
Day 1 : Declare war
วันแรกหลังจากตัดสินใจที่จะทำให้ลูกเลิกดูไอแพดอย่างจริงจัง เราเริ่มด้วยการกินข้าวเช้าให้เต็มที่ซะก่อน อย่าลืมว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง และเพราะเราต้องใช้แรงอีกเยอะในการเลี้ยงลูกเองทั้งวัน เพราะเจ้าไอแพดจะไม่มาช่วยเราอีกแล้ว หลังจากท้องอิ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปสำคัญมาก คือเก็บไอแพด ไอโฟน และอื่น ๆ ให้พ้นตาลูก ปิดเครื่องได้ปิดเลย เราก็ต้องไม่ใช้ด้วยนะ (ยกเว้นตอนลูกหลับแอบเล่นได้ไม่ว่ากัน)
หลังจากนั้นเราก็ทำกิจวัตรประจำวันกันปกติ ทีนี้มันก็จะมีบางช่วงที่ลูกเริ่มนึกขึ้นได้ว่าอยากดูไอแพด แกก็จะเริ่มถามหา เราก็ต้องชักจูงลูกไปทำอย่างอื่น เล่นน้ำ ให้อาหารปลา เล่นกับหมา เก็บก้อนหิน รดน้ำต้นไม้ ดูนก อ่านนิทาน คิดอะไรได้ทำหมด ซึ่งแรก ๆ ต้องอดทนเพราะแกจะถามขอไอแพดบ่อย ๆ ของเรานี่ทุก ๆ 15 นาที ยิ่งตอนจะนอน ยิ่งงอแงใหญ่ เพราะแกติดดูไอแพดแล้วหลับ พอไม่มีให้ดู แม่ก็ต้องกลายร่างเป็นไอแพดแทน วันแรกจำได้ว่าร้องเพลง The wheels on the bus แบบ Non-stop ติดต่อกันประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงจนลูกหลับ คอแหบคอแห้งกันเลยทีเดียว ข้อสำคัญที่จะทำให้วันแรกสำเร็จได้ คือพ่อแม่ต้องใจเย็น และอดทนเข้าไว้ ลูกอาจจะงอแงมากหน่อย อย่าหงุดหงิด อย่าดุลูก ให้ใช้วิธีชักชวนหลอกล่อให้ลูกสนใจสิ่งอื่น ๆ พยายามทำโลกความจริงของลูกให้สนุกกว่าในไอแพดเข้าไว้
Day 2, 3, 4
ถ้าคุณผ่านวันแรกมาได้ ขอให้พึงระลึกไว้เถิดว่าคุณได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดไปแล้ว ขอให้อดทนสู้ต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ให้แก่ปีศาจไอแพดเป็นอันขาด วันที่ 2, 3, 4 ของเราค่อย ๆ ง่ายขึ้นตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้ง่ายกว่าวันที่ 1 มากนักหรอก อย่าเพิ่งย่ามใจ เพราะเราเริ่มเหนื่อยสะสม จากการทำตัว Active คูณ 2 กับลูก (เพราะต้องทำตัวให้น่าสนใจกว่าเจ้าไอแพด จึงต้องอัพตัวเองไปอีก 1 เลเวล) มุกต่าง ๆ ที่งัดมาใช้ก็เริ่มจะหมด ลูกเริ่มเบื่อดูนก ดูปลา ทีนี้เราจึงต้องหาตัวช่วยมาเพิ่ม สำหรับเราคือหนังสือจ้า ลงทุนซื้อหนังสือเล่มใหม่ที่คิดว่าลูกจะสนใจ ของเราลูกเริ่มสนใจเรื่องสัตว์ต่าง ๆ เราก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ เลือกที่มีภาพสีสวยน่าสนใจ เอาแบบหนา ๆ หลาย ๆ หน้าหน่อย จะได้อ่านได้จนแกหลับ พอได้หนังสือมาเราก็เริ่มใช้มันแทนที่ไอแพด คือพอลูกร้องอยากจะดูไอแพด เราก็จะเอาหนังสือมาเปิดอ่าน ชี้ ๆ ภาพให้เขาดูทีละหน้า ๆ แทน แรก ๆ ลูกอาจจะไม่สนใจทันที หรืออาจจะดูแค่ไม่กี่หน้า ให้ทุกคนใช้ความอดทนและความสม่ำเสมอนะคะ อ่านให้น่าสนใจ ทำเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เล็ก ๆ ใหญ่ ๆ มีเท่าไร จัดเต็มไปเลย ทำให้น่าสนุกตื่นเต้นเข้าไว้ค่ะ ของเราใช้เวลาแค่เพียงสามวัน ลูกก็เลือกดูหนังสือแทนไอแพดแล้วค่ะ
Day 5, 6
วันที่ 5 และ 6 คือช่วงปลายสงครามสำหรับเราแล้วค่ะ ลูกเริ่มสงบขึ้น มีสมาธิมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แกเริ่มเล่นกับสิ่งของรอบตัวมากขึ้น ช่วงนี้แกจะเริ่มไม่ถามหาไอแพดแล้วค่ะ หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่าคลื่นลมเริ่มสงบ เราก็ปฏิบัติการขั้นต่อไป คือ Say no once and for all (อันนี้ตั้งเอาเอง) คือเราเริ่มวางไอแพด ไอโฟนให้แกเห็น พอลูกเดินมาทำท่าเหมือนจะหยิบขึ้นมา เราก็สอนว่า "No no, put it back please" พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปกติ อย่าเสียงดังนะคะ แรก ๆ แกอาจจะยังไม่วางเองทันที เราใช้วิธียื่นมือไปจับมือแก แล้วเอาไปวางที่เดิมให้แกเห็น หลังจากนั้นก็ชมว่า "Good job !" หรืออะไรก็แล้วแต่เลยค่ะ เราทำแบบนี้ประมาณสอง-สามครั้ง รู้ตัวอีกทีลูกก็ทำเองได้โดยที่เราไม่ต้องบอกเลยค่ะ คือถ้าแกเห็นไอแพดหรือไอโฟนวางอยู่ แกก็จะพูดพร้อมกับทำไม้ทำมือว่า "No No" (บอกตัวเองเบา ๆ) แล้วเดินไปทำอย่างอื่นแทน
Day 7 : Victory
วันสุดท้าย เราจบสงคราม (ที่เต็มไปด้วยความรัก) ด้วยชัยชนะค่ะ ลูกไม่มีปฏิกิริยาต่อไอแพด ไอโฟนอีกต่อไป เห็นใครใช้ก็ไม่เข้าไปขอดูเหมือนแต่ก่อน เราเองก็เลือกที่จะไม่ใช้ให้ลูกเห็น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับตัวเขาด้วย ของแถมที่เราได้จากการปฏิวัติครั้งนี้ คือลูกเราชอบหนังสือค่ะ เห็นหนังสือที่ไหนแกก็จะเข้าไปเปิด ๆ ดู (ดูแต่รูป) และแกมีสมาธิมากขึ้น เรียนรู้คำศัพท์ได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ อันนี้จากประสบการณ์ของเราเลย จากที่เราเคยให้แกดูคลิปซ้ำ ๆ เป็น 20-30 ครั้ง แล้วแกพูดตามได้ คำสองคำ เราคิดดีใจ นึกว่าลูกเรียนรู้เร็ว จนมาวันนี้ ลูกเราเห็นหอยทาก เราก็ชี้แล้วบอกเขาว่า "That\'s a snail" แค่คำเดียว วันต่อมา เราเดินผ่านที่เดิม พอลูกเห็นหอยทากปุ๊บ แกก็ชี้แล้วพูดว่า "Snail" (แบบไม่ชัด) เราอึ้งมาก ไม่คิดว่าพูดแค่คำเดียวแล้วลูกจะจำได้ ถ้าที่ผ่านมาเราสอนลูกเอง ไม่หลงเสียเวลาไปให้กับไอแพดตั้งนาน ลูกเราคงได้อะไรมากกว่านี้
นี่จึงเป็นที่มาของกระทู้แรกของเราในครั้งนี้ เพื่อแชร์ประสบการณ์ที่เราพบเจอกับตัวเอง และเพื่อแนะนำแนวทางในการแก้ไขปัญหาลูกติดจอให้กับพ่อแม่คนอื่น ๆ ที่อาจจะเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน ในแบบฉบับและมุมของเราเอง ซึ่งแน่นอนว่าวิธีเหล่านี้ย่อมใช้ไม่ได้ผลกับทุกสถานการณ์ เพราะเด็กแต่ละคนมีความต่าง และปัจจัยของแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งคนเป็นพ่อแม่เองจะรู้ดีที่สุดว่าวิธีไหนดีที่สุดกับลูกเรา ส่วนสำหรับพ่อแม่คนไหนที่ยังชั่งใจ (เหมือนเราเมื่อก่อน) ว่าควรให้ลูกดูไอแพด ทีวีต่อไปดีไหม ? เพราะเลี้ยงง่ายดี ลูกไม่กวน ไม่ดื้อไม่ซน ก็ขอให้คิดไว้เถิดว่า "อะไรที่ง่ายสำหรับเรา ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกแน่นอน" มีนักวิจัยคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า "เด็กได้ความรู้และพัฒนาสมองจากการเอาไม้เคาะกำแพง มากกว่าการนั่งดูทีวีเป็นชั่วโมงเสียอีก"
------------------------------------------------------------------------------------------------
เรียกได้ว่าวิธีแก้ปัญหาลูกติดไอแพดแบบฉบับของคุณแม่ท่านนี้เป็นแนวทางแก้ไขที่ดีมาก ๆ วิธีหนึ่งเลยนะคะ ซึ่งหากคุณแม่ท่านไหนที่กำลังเจอกับปัญหานี้อยู่และหาวิธีแก้ไม่ได้ ก็ลองนำวิธีนี้ไปปฏิบัติตามกันดู รับรอง 7 วันเห็นผล แล้วลูก ๆ ของคุณก็จะไม่ใช่เด็กติดแท็บเล็ต-มือถืออีกต่อไป ซึ่งจะดีต่อพัฒนาการของลูกน้อยมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ^^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ 2789255 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, เฟซบุ๊ก Jenny S. Wannachai