ตัวเหลืองหลังคลอด ดูแลรักษาอย่างไร



         ตัวเหลืองหลังคลอด เกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด เป็นอีกภาวะที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบันและเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้จากนิตยสาร Mother & Care และวิธีการดูแลทารกตัวเหลืองมาฝากกัน ส่วนความเชื่อที่ว่าเด็กตัวเหลืองหลังคลอดเพราะกินน้ำน้อย จะจริงหรือไม่ เรามีคำตอบมาแนะนำกันค่ะ

         หลังจากผ่านนาทีแห่งความยินดีในห้องคลอดมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นหน้าเจ้าตัวน้อยที่รอคอยมาเนิ่นนาน ช่างเป็นช่วงเวลาที่สุขใจอย่างบอกไม่ถูก และพ่อแม่ทุกคนคงอยากพาเจ้าตัวน้อยกลับไปชื่นชมที่บ้านเต็มที แต่เมื่อคุณหมอแจ้งว่าลูกยังคงต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ เนื่องจากมี "ภาวะตัวเหลือง" คงทำให้พ่อแม่กังวลไปตาม ๆ กัน จึงเป็นการดีอย่างยิ่ง ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะตัวเหลือง" เพื่อจะได้คลายความกังวลและดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกต้อง

ภาวะตัวเหลืองคืออะไร

          ภาวะตัวเหลืองตาเหลืองไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่เกิดจากการมีสารสีเหลือง (ภาษาแพทย์เรียกว่าบิลิรูบิน) สารสีเหลืองนี้จะไปเกาะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้สีผิวหรือสีตาขาวของลูกน้อยมีสีเหลือง

สาเหตุที่ทำให้ลูกตัวเหลืองตามปกติ มีสาเหตุจาก

         - เม็ดเลือดแดงของลูกน้อยมีการทำลายและสร้างใหม่ตามธรรมชาติได้รวดเร็วกว่าเม็ดเลือดแดงของผู้ใหญ่

         - ตับของทารกยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ จึงขับสารเหลืองออกจากร่างกายได้ไม่ดี

         - ทารกได้รับน้ำนมแม่ในช่วงแรกคลอดค่อนข้างน้อย

ทารกบางคนอาจมีอาการตัวเหลืองมากกว่าปกติ มีสาเหตุจาก

         - กลุ่มเลือดของแม่และทารกไม่เข้ากัน ทำให้มีการสร้างสารสีเหลืองเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ

         - มีเอนไซม์บางชนิดในเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าปกติ

         - ภาวะความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ

         - ทารกคลอดก่อนกำหนดจะมีเอนไซม์ในเลือดบางอย่างต่ำกว่าทารกคลอดครบกำหนด

         -  ประวัติลูกคนก่อนมีภาวะตัวเหลืองมาก และอายุเริ่มต้นที่มีภาวะตัวเหลืองเกิดเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด โอกาสที่คนต่อไปจะมีภาวะตัวเหลืองสูงก็จะเพิ่มมากขึ้น

ตัวเหลืองหลังคลอด

ตัวเหลืองรักษาอย่างไร

          ทารกที่มีอาการตัวเหลืองทุกราย จะต้องได้รับการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับของสารสีเหลืองเป็นระยะ ๆ

          1. กรณีสารสีเหลืองไม่สูงมาก ทารกสามารถขับสารสีเหลืองออกมาได้เอง ไม่ต้องรักษา

          2. การส่องไฟ โดยใช้แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนซ์ (แสงนีออน) ที่มีความเข้มข้นสูง (ไม่ใช้แสงแดดส่อง) แสงไฟจะช่วยเปลี่ยนสภาพของสารสีเหลืองให้ขับออกทางอุจจาระ ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

          3. ถ้าส่องไปแล้วสารสีเหลืองยังไม่ลด คุณหมอจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะใช้วิธีต่อไปคือ การถ่ายเปลี่ยนเลือด เป็นการนำเอาเลือดที่มีสารสีเหลืองออกจากตัวทารก แล้วให้เลือดใหม่แทน ซึ่งวิธีนี้จะใช้เมื่อมีสารสีเหลืองสูงถึงขั้นอาจเกิดอันตรายต่อทารกได้

เหลืองแบบไหน...น่าเป็นห่วง

          โดยปกติแล้วทารกที่ครบกำหนดคลอดและมีสุขภาพแข็งแรงประมาณ 80% จะมีภาวะตัวเหลืองจาง ๆ แต่เมื่ออายุ 3-4 วัน จะหายจากอาการตัวเหลืองไปเอง หากทารกมีอาการตัวเหลืองผิดปกติ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยทั่วไปจะพบน้อยกว่า 1% คือมีระดับสารสีเหลืองสูงกว่าปกติ หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นลูกมีอาการดังต่อไปนี้ต้องระวัง

         - เหลืองเร็ว คือเหลืองให้เห็นภายในอายุ 1-2 วันแรก

         - เหลืองจัด คือเหลืองเข้ม ฝ่ามือฝ่าเท้าเหลืองชัดเจน

         - เหลืองนาน แม้อายุจะเกิน 7 วันแล้ว แต่ยังมีอาการเหลืองอยู่ อุจจาระมีสีซีด ปัสสาวะสีเข้มกว่าปกติ

         - เหลืองร่วมกับอาการเจ็บป่วยอื่น เช่น มีไข้ ซึม อาเจียน ถ่ายเหลว

หากพบว่าลูกมีอาการดังกล่าว ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอ เพราะสารสีเหลืองที่มีมากเกินไปอาจจะไปเกาะในเซลล์สมอง ทำให้เกิดความผิดปกติทางสมอง และอาจถึงขั้นปัญญาอ่อนได้ หากไม่รักษาให้ทันเวลา

คุณหมอแนะนำ&ไม่แนะนำ


          ควรรักษา "ภาวะตัวเหลือง" ผิดปกติในโรงพยาบาลจนหายก่อนกลับบ้าน โดยรักษาด้วยวิธีส่องไฟและการถ่ายเลือด จำเป็นต้องทำในโรงพยาบาล จึงไม่แนะนำให้พาทารกที่เริ่มมีภาวะตัวเหลืองกลับบ้านก่อน และหากมีอาการเหลืองมาก คุณหมอจะตรวจอาการและรักษาอย่างใกล้ชิด และทันเวลา ภาวะตัวเหลืองไม่สามารถรักษาตามคลินิก ควรรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น เพราะทารกแรกเกิดต้องมีการดูแลจากผู้ชำนาญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามด้วย เช่น

          ไม่จำเป็นต้องให้ทารกที่มีภาวะตัว เหลืองดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำไม่ช่วยกำจัดสารสีเหลืองในทารก และไม่ทำให้ตัวเหลืองลดลง กลับมีผลเสียตามมาคือ ทารกจะดื่มนมได้น้อยลง สารอาหารที่ทารกควรได้รับในแต่ละมื้อจะไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโต

          ไม่จำเป็นต้องพาทารกไปรับแสงแดด โดยถอดเสื้อออกหมด เพราะไม่สามารถกำจัดภาวะตัวเหลืองที่ผิดปกติได้ จำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Vol.12 No.134 กุมภาพันธ์ 2559

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตัวเหลืองหลังคลอด ดูแลรักษาอย่างไร อัปเดตล่าสุด 17 มีนาคม 2559 เวลา 16:59:15 12,136 อ่าน
TOP
x close