อ่านวันละนิด ลูกสมองดี ไอเดียบรรเจิด

วิธีเลี้ยงลูก

           วิธีเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กรักการอ่าน ทำได้ไม่ยากค่ะ แต่ต้องได้รับแรงสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่เป็นหลักค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมมีเคล็ดลับที่ช่วยฝึกสมองลูกน้อยให้แจ่มใสและรักการอ่านจากนิตยสาร Mother & Care มาแนะนำกัน รับรองว่าทำได้ไม่ยากเลยค่ะ พร้อมแล้วเราไปดูเคล็ดลับดี ๆ กันเลยค่ะ

           หลายท่านยอมรับว่าการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ แต่เราคงได้ยินได้ฟังมาแล้วว่าเด็กไทยอ่านได้น้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะไม่สนใจหนังสือ ทำให้หนังสือกำลังกลายเป็นสิ่งล้าสมัยสำหรับเด็กที่เกิดมาในยุคโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้เด็กมีขีดความอดทนต่ำลง สมาธิสั้นลง เชื่อว่าคนเป็นพ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกสมาธิสั้น อ่านน้อย เรียนรู้ได้น้อย และสมองไม่พัฒนาอยู่แบบนี้ใช่ไหมคะ

หนังสือ…เชยไปไหม ?

           ยุคนี้คงมีคำถามเกิดขึ้นว่าหนังสือหมดความจำเป็นหรือไม่ หลายคนให้ข้อคิดเห็น เช่น หนังสือเสิร์ชหาข้อมูลได้ไม่เร็วเท่าอินเทอร์เน็ต เปลืองเนื้อที่จัดเก็บ แถมยังเก่าขาดได้อีก ยิ่งก๊อบปี้ คัดลอกมาทำรายงาน  ยิ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วข้อมูลยังช้าไม่ฉับไว หรืออื่น ๆ ส่วนคนรักการอ่านก็บอกว่าหนังสือสืบค้นได้ เวลาสืบค้นก็ต้องใช้สมองนึกคิดมากกว่า แถมยังได้อรรถรสของการแสวงหามากกว่า โดยเฉพาะการดั้นด้นไปค้นหาที่ห้องสมุด ทำให้ได้ซึมซับบรรยากาศที่ดีกว่า แล้วการอ่านผ่านหนังสือยังได้หยิบได้จับได้กลิ่นกระดาษ ที่สำคัญอ่านได้นานมากกว่าอ่านผ่านหน้าจอด้วยค่ะ

ลูกจ๋า…ออฟไลน์สักนิด คิดอ่านสักหน่อยนะจ๊ะ

           ณ เวลานี้ คุณแม่รู้ดีว่าปัจจัยที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตลูกมากที่สุด คือ โลกออนไลน์ ผ่านมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกแทบขาดใจถ้าไม่ได้ออนไลน์แชทกับเพื่อน เล่นเกมหรือเปิดไปดูสิ่งเร้าใจสารพัด คุณแม่จึงต้องดึงลูกให้หลุดจากโลกออนไลน์ กลับมาสู่โลกการอ่าน พร้อมกับทำให้ลูกเห็นว่าเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้ที่ได้ผลของสมอง คือ หนังสือ

เหตุผล 8 ข้อที่ทำไมอินเทอร์เน็ตจึงเข้ามาแทนที่หนังสือและห้องสมุดไม่ได้

           ถึงแม้จะมี E-books หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่เปิดอ่านได้ แต่เชื่อไหมว่าไม่ได้ผลสำหรับเด็ก ๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ เพราะในโลกออนไลน์มีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจไปจากการอ่าน E-books ได้เสมอ เช่น การเล่น Line แชทกัน การเล่น Facebook, การเล่น Instagram หรืออื่น ๆ ทำให้ไม่มีสมาธิในการอ่านได้อย่างแท้จริง เราลองมาดูเหตุผล 8 ข้อสิว่าทำไมอินเทอร์เน็ตถึงเข้ามาแทนที่หนังสือและห้องสมุดไม่ได้

          1. มีค่าใช้จ่าย ถึงแม้จะเปิด E-books หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือแมกกาซีนออนไลน์อ่านได้ แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แนะนำเท่านั้น ถ้าต้องการจะอ่านทั้งหมดก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายจึงจะโหลดได้ทั้งเล่ม ส่วนห้องสมุดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพียงแค่เดินไปค้นหาแล้วหยิบหนังสือที่ต้องการมาอ่านฟรี ๆ หรือจะหยิบยืมกลับบ้านก็ทำได้ทันที

          2. สุขภาพสายตาเสื่อม ถ้าใครลองอ่าน E-books นานกว่าครึ่งชั่วโมง จะพบว่ามีอาการปวดศีรษะและเมื่อยล้าสายตาเร็วมากจากแสงจ้าของหน้าจอ แล้วหากสิ่งที่จะต้องอ่านยาวกว่า 2 หน้า คุณแม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสายตา หนังสือกระดาษไม่ทำให้เกิดปัญหานี้ แถมที่ผ่านมายังมีการผลิตกระดาษถนอมสายตา ยิ่งทำให้อ่านได้นานมากขึ้น

          3. อ่านไม่ได้นานถ้าเครื่องขัดข้อง ถ้าใช้คอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊กแล้วไฟดับก็ไม่สามารถจะอ่าน E-books ได้ ถึงแม้จะโหลดเก็บไว้แล้วก็ตาม หรือถ้าสมาร์ทโฟน, ไอแพดแบตหมดก็จะอ่านไม่ได้ ยิ่งถ้าพกสมาร์ทโฟนแล้วอ่าน E-books ในที่ที่ไม่มีสัญญาณก็ไม่สามารถอ่านได้อีก ส่วนหนังสือสามารถอ่านได้ทุกที่ เปิดอ่านนานเท่าใดก็ย่อมได้

          4. ไม่ได้อารมณ์สัมผัส การอ่านหนังสือให้อารมณ์ความรู้สึกที่ดีกว่า ผ่อนคลายกว่า จากการสำรวจผู้ซื้อหนังสือ พบว่ามากกว่า 80% ให้ความเห็นว่าซื้อหนังสือที่ถูกตีพิมพ์บนกระดาษอาศัยช่องทางอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่อ่านจากจอ เพราะมนุษย์มีวัฒนธรรมการอ่านจากสิ่งพิมพ์มาเกือบ 1,000 ปี ซึมซาบอยู่ในสายเลือด คงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่าย ๆ

          5. ไม่มีระบบค้นหา ห้องสมุดจะมีระบบค้นหาที่ดีกว่า เป็นหมวดหมู่มากกว่า มีเจ้าหน้าที่แนะนำได้ดีกว่า ส่วนการหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต สามารถค้นได้ทุกอย่างก็จริง ได้ข้อมูลรวดเร็วก็จริง แต่จะได้ข้อมูลมากมายหลายแหล่ง บางข้อมูลขัดแย้งกันเองจนสับสน ทำให้ต้องเสียเวลาในการอ่านมากเกิน และข้อมูลที่ได้บางเว็บก็ไม่มีแหล่งอ้างอิง

          6. ได้ข้อมูลไม่มีคุณภาพ ข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตไม่มีการควบคุมคุณภาพ ต่างจากห้องสมุดที่รวบรวมสิ่งพิมพ์ที่ผ่านการตรวจสอบเนื้อหาจึงน่าเชื่อถือ จึงไม่มีบรรดาสิ่งพิมพ์ไร้สาระเป็นพิษเป็นภัยอย่างอินเทอร์เน็ตที่เปรียบเสมือนกองขยะที่ไม่ว่าใครก็ย่อมใส่อะไรก็ได้ลงในเว็บ จึงต้องใช้วิจารณญาณให้ดี ๆ ซึ่งเด็กและเยาวชนไม่สามารถจะทำได้

          7. ข้อมูลไม่ครบถ้วน หลายเว็บไซต์ไม่ได้มีเนื้อหาครบถ้วนเสมอไป บางบทความอาจขาดส่วนประกอบ ตาราง กราฟ และสูตรการคำนวณ ซึ่งบางเว็บอาจแสดงผลในรูปแบบที่ไม่สามารถอ่านได้ โดยเฉพาะเมื่อพิมพ์ออกมาแล้ว

          8. แบ่งปันไม่ได้ การใช้อินเทอร์เน็ตเปิดค้นหาข้อมูล สามารถดูได้คนเดียว ไม่สามารถแบ่งปันให้เพื่อนหยิบยืมไปได้เหมือนหนังสือกระดาษ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในห้องสมุด แต่เมื่อมีหนังสือแล้วก็สามารถให้เพื่อนหยิบยืมกันได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งนั่นเท่ากับสอนให้ลูกรู้จักแบ่งปันหนังสือได้โดยง่าย

How to…ทำอย่างไรให้ลูกออฟไลน์หันกลับมาสนใจหนังสือ

icon กิจกรรมสุดสนุก เชื่อสิ…ลูกต้องสน

           ก่อนอื่นหาทางดึงลูกออกจากโลกอินเทอร์เน็ตให้ได้ก่อน โดยชวนลูกทำกิจกรรมสนุก ๆ เช่น ไปเที่ยว ไปสวนสนุก เล่นเครื่องเล่นสารพัด ไปดูสิงสาราสัตว์น่ารักที่สวนสัตว์ ดูแมลงหลากชนิดที่พิพิธภัณฑ์ ดูนก พาลูกไปท่องธรรมชาติ เที่ยวทะเล ปีนเขา ปั่นจักรยาน ล่องแก่ง หรือทำกิจกรรมที่ไม่เป็นอันตราย แล้วอย่าลืมหยิบหนังสือติดมือไปด้วยค่ะ

icon แทรกหนังสือทีละนิด คิดพัฒนาสมอง

           หาเวลาเหมาะ ๆ หลังทำกิจกรรมเสร็จ ชวนลูกพักผ่อนสบาย ๆ กับการนอนหนุนตักแม่ แล้วหยิบหนังสือนิทานที่เตรียมมาอ่านให้ลูกฟัง เลือกหนังสือที่มีภาพประกอบสวย ๆ มีเนื้อหาน้อย ๆ สั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ มีข้อคิดเตือนใจที่น่าคิดน่าติดตาม และเป็นนิทานที่ช่วยกระตุ้นความคิดและพัฒนาสมองลูก

icon รู้กำหนดเวลา ไม่น่าเบื่อ

           ทุกครั้งที่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ควรกะระยะเวลาที่พอดี อย่าให้นานมากเกินไปจนลูกรู้สึกเบื่อ หรือสั้นเกินไปจนทำให้ลูกรู้สึกไม่เพียงพอ ขณะอ่านก็ให้สังเกตท่าทีของลูกด้วยว่าลูกยังต้องการฟังอยู่หรือไม่ ถ้าลูกยังทำตาแป๋วตั้งอกตั้งใจฟังก็ควรอ่านไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าลูกเริ่มสนใจสิ่งอื่น ยุกยิก มองโน่นมองนี่ก็อย่าฝืนใจลูก ควรหยุดอ่านไปก่อน

icon ถามกระตุ้นไอเดีย เชียร์ให้ลูกตอบ

           หลังอ่านหรือแม้ขณะที่กำลังอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หาจังหวะตั้งคำถามกระตุ้นให้ลูกคิดหาคำตอบและเปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิด เช่น "ไหนดูนิ้วมือของเจ้าหมีน้อยสิจ๊ะ มันมีกี่นิ้วจ๊ะ เท่าของลูกไหมเอ่ย" หรืออื่น ๆ แล้วแต่คุณแม่จะคิดตั้งคำถาม เพื่อต่อยอดทางความคิดให้ลูกไปด้วย แต่ก็ไม่ควรถามมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกรู้สึกเบื่อได้

icon อ่านแบบโดน ๆ ด้วยกิจกรรมดี ๆ

           ก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน หรือหลังอ่าน ถ้ามีการเล่นกับลูกด้วยก็จะช่วยให้ลูกรักสนใจอยากอ่าน และกลายเป็นนักอ่านได้ง่ายขึ้น ดังนั้นหากิจกรรมสนุก ๆ เช่น ทายปัญหาอะไรเอ่ย หรือหาตุ๊กตาของเล่น หรือเกมต่าง ๆ มาอ่านไปเล่นไป อ่านไปร้องไป หรืออ่านไปเต้นไป ซึ่งจะช่วยแก้เบื่อ และสนุกกับการอ่านหนังสือร่วมกับพ่อแม่

icon นำเสนอมุมหนังสือโดนใจ

           ลองใช้ไอเดียเก๋ ๆ นำหนังสือที่เหมาะกับวัยลูกมาจัดวางไว้เป็นที่เป็นทางให้ดูน่าสนใจ เช่น หาตู้หนังสือเล็ก ๆ น่ารัก ๆ หรือชั้นหนังสือสีสันสดใส มีลายการ์ตูนตัวโปรดของลูกตกแต่งตามชั้นหนังสือ เพื่อดึงดูดใจให้ลูกรู้สึกสะดุดตา แล้วเดินเข้ามาหยิบจับหนังสือขึ้นมาเปิดดู ควรจัดเป็นมุมสบาย ๆ สงบ ๆ ไม่มีโทรทัศน์ โทรศัพท์ หรืออื่น ๆ ที่ดึงสมาธิลูกไปด้วยนะคะ ลูกจะได้รู้ว่าถ้าลูกอยากจะอ่าน ลูกจะต้องมาที่มุมนี้

icon ทำเวลาให้เป็นช่วงอ่านที่แสนสุข

           ต้องอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน แล้วต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย แล้วก็ต้องทำให้ลูกรับรู้ว่าช่วงการอ่านเป็นช่วงแห่งความสุข ด้วยการแสดงท่าทีว่าพ่อแม่เป็นสุขทุกครั้งที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ลองเลือกช่วงเวลาหลังมื้ออาหาร หรือก่อนเข้านอนทุกวัน ปิดสื่อสารพัดที่เร้าใจลูก แล้วอ่านหนังสือร่วมกัน ถ้าลูกยังอ่านไม่ได้ก็อ่านให้ลูกฟังทุกวัน

icon ลูกอ่านได้ อ่านดี เพราะมีพ่อแม่เป็นกองหนุน

           อยากให้ลูกรักการอ่าน พ่อแม่ต้องเห็นความสำคัญของการอ่าน และเป็นตัวอย่างของการอ่านให้ได้จริง ๆ วิธีง่าย ๆ คือ ไปไหนให้พกหนังสือ หรือว่างเมื่อไรต้องอ่านเมื่อนั้น แล้วเชิญชวนให้ลูกอ่านด้วยกัน ชี้ชวนให้ดูภาพพูดคุยด้วยกัน หรือไม่ก็ลองอ่านออกเสียงดัง ๆ เรียกความสนใจลูก แล้วถ้าเห็นลูกหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเอง ต้องชมลูกอย่างจริงใจลูกจะได้ภูมิใจ มีกำลังใจที่จะอ่านเพิ่มขึ้นด้วย เหล่านี้จะช่วยให้ลูกติดเป็นนิสัยรักการอ่านอย่างได้ผลค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Vol.11 No.130 ตุลาคม 2558

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อ่านวันละนิด ลูกสมองดี ไอเดียบรรเจิด อัปเดตล่าสุด 8 ธันวาคม 2558 เวลา 17:54:52 7,931 อ่าน
TOP
x close