
องค์การอนามัยโลก... ได้มีการประมาณการถึงตัวเลขของผู้ป่วย "โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้" หรือ "โรคภูมิแพ้อากาศ" ทั่วโลกว่ามีประมาณ 400 ล้านคน โดยพบในเด็ก 40% ในผู้ใหญ่ประมาณ 10-30% เป็นโรคนี้ และยังพบว่ามีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ในส่วนของประเทศไทยเคยมีสำรวจในเขตกรุงเทพฯ พบว่าเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาถึง 40% เป็นโรคนี้ และบางคนอาจจะมีโรคแทรกซ้อนแถมมาด้วย
สาเหตุหนึ่งคาดว่าสิ่งที่ทำให้โรคนี้มีแนวโน้มสูงมากขึ้น นั่นเพราะคนไทยมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ยิ่งเป็นสังคมเมืองด้วยแล้วยิ่งเห็นได้ชัดเจน ด้วยรสนิยม ชอบปูพรม เลี้ยงสัตว์ในบ้าน หรือการนำสัตว์เลี้ยงมานอนด้วย ฝุ่น เชื้อโรคจึงสามารถฟุ้งกระจายอยู่ในบ้านได้ง่ายกว่า บวกกับการนิยมอาหารตะวันตกเน้นอาหารประเภท เนื้อ นม ไข่ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้มากขึ้น ทั้งนี้สาเหตุหลักของการเกิดโรคนี้มีอยู่ 2 ประการด้วยกัน คือ


คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้เมื่อลูกน้อยมีอาการ น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่ค่อยออก จาม คันตา ซึ่งอาการมักเป็น ๆ หาย ๆ ร่วมเดือน ลูกน้อยของคุณจึงนอนไม่ค่อยหลับ หงุดหงิด ร่วมด้วยโรคแทรกซ้อน ติดเชื้อซ้ำ หูอักเสบ เจ็บคอ ร่วมกับไซนัส และในเด็กเล็กบางคนอาจจะไม่ได้แพ้อากาศโดยตรงเหมือนผู้ใหญ่ แต่เกิดจากการทานอาหาร เช่น นมวัว ไข่ ซึ่งจะมีลักษณะอาการคล้ายกัน หรือหากเด็กโตประมาณ 3 ขวบขึ้นไป มักพบว่าส่วนใหญ่อาการเหล่านี้มักมาจากอากาศมากกว่าอาหาร
"โรคภูมิแพ้อากาศ" หรือชื่อเรียกถูกต้อง "โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้" (Allergic Rhinitis) จัดว่าเป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยมากที่สุด พบได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ โดยส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง เพราะโรคนี้จะรบกวนกระบวนการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ ทั้งยังมักเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น โรคหืด โรคไซนัส โรคหูชั้นกลางอักเสบ เป็นต้น ยิ่งหากคุณพ่อคุณแม่กำลังมีลูกน้อยยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยฤดูฝนช่วงนี้มีโอกาสทำให้การป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่หลายท่านมักเข้าใจว่าการแพ้อากาศของลูกน้อยนั้น เกิดจากการแพ้อากาศที่ลูกน้อยสูดหายใจเข้าไปทุกวัน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่แพ้มาจากสิ่งที่แฝงตัวอยู่ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขี้แมลงสาบ เป็นต้น
เราจะป้องกันเรื่องนี้ได้อย่างไร คุณพ่อคุณแม่ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ดังนี้








การป้องกันย่อมดีกว่าแก้... หากคุณพ่อคุณแม่ทราบถึงพิษภัยอันจะนำมาสู่การป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อากาศของลูกน้อยแล้ว และมีการทำเพื่อป้องกันอย่างจริงจัง แน่นอนว่าลูกน้อยของเราย่อมห่างไกลจากโรคดังกล่าว แถมยังมีสุขภาพที่ดีไม่มีโรคให้เราต้องมากังวลใจอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Vol.22 Issue 266 กันยายน 2558