ในอดีตชาติภพหนึ่ง มีเศรษฐีสองสามีภรรยามีบุตรชายด้วยกันสามคน แทนชื่อให้เข้าใจกันง่าย ๆ ลูกคนโตคือ พระอาทิตย์, ลูกคนรองคือ พระจันทร์ ส่วน พระราหู เกิดเป็นน้องสุดท้อง กาลต่อมาเศรษฐีเกิดตกยาก ขัดสน ทำธุรกิจผิดพลาด จำต้องคิดจากจรไปหาทำเลเพื่อทำกินสร้างตัวใหม่ยังที่อื่น จึงได้ถวายเคหสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยให้เป็นธรณีสงฆ์ แล้วก็ยกครัวออกเดินทางไปตั้งหลักยังชนบทห่างไกล
พ่อแม่และลูกทั้งสามช่วยกันประกอบสัมมาอาชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำให้ฐานะของครอบครัวค่อย ๆ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง พี่คนโตเป็นเสาหลักของบ้าน ก็อยู่ในฐานะที่ค่อนข้างเข้มงวด อวดเบ่ง จู้จี้จุกจิกกับน้อง ๆ ทำให้มีเรื่องทะเลาะขัดใจกับน้องทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง ส่วนน้องคนรองก็มักจะรักความสบาย ช่วยงานบ้าง ไม่ช่วยงานบ้าง แต่มีเสน่ห์ช่างปรนนิบัติ ชอบบริการ ช่างประจบ เอาอกเอาใจ จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ส่วนน้องชายคนเล็ก ออกแนวฉลาดพลิกแพลง มีหัวคิดทำการค้า ชั้นเชิงการทำธุรกิจแพรวพราวเหนือชั้นกว่าพี่ทั้งสองมาก แต่ด้วยความหัวการค้าที่ต้องมีเล่ห์กล คบหาคนไม่เลือกชนชั้น ก็เลยไม่ค่อยลงรอยกับพี่ชายคนโต แล้วก็มักจะมีกิจกรรมหมุนเงินกับพี่คนรอง ไม่ว่าจะขอกู้บ้างหรือให้กู้บ้าง แล้วแต่วาระ
พี่ชายคนโตอธิษฐานว่า "ขออานิสงส์ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้ใช้ขันทองคำนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้กำเนิดมีรัศมีกายสุขสว่าง และวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำเจิดจรัส"
ส่วนน้องคนรองก็ได้อธิษฐานว่า "ขออานิสงส์ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้ใช้ขันเงินใบนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้กำเนิดเป็นผู้มีรัศมีกายและวรรณะเป็นสีขาวนวลสว่างประดุจเงินยวงน่าพิศมัย"
ส่วนน้องชายคนเล็กเมื่อได้ยินพี่ทั้งสองอธิษฐาน ก็ให้รู้สึกเคืองขัดหมั่นไส้ ด้วยตนเองได้ใช้เพียงขันกะลามะพร้าว แล้วจะอธิษฐานสิ่งใดได้บ้างเล่า ? ฉับพลันความคิดบรรเจิดจากความหมั่นไส้พี่ชายทั้งสองก็ปิ๊งเป็นไอเดียเด็ด ! น้องชายคนเล็กจึงตั้งดวงจิตอธิษฐานว่า "ขอให้อานิสงส์แห่งตน แม้จะเพียงใช้กะลามะพร้าวตักบาตร แต่ก็เป็นแม่งานจัดงานบุญใหญ่ให้แก่บิดาผู้ล่วงลับแสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตา ก็ขอให้ข้าพเจ้าจงกำเนิดมีร่างกายอันใหญ่โตอย่างหาประมาณมิได้ ให้ใหญ่ถึงขนาดที่สามารถบดบังทุกแสงสว่างได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยามทิวาหรือราตรี"
นับว่าเป็นคำอธิษฐานที่เกรียนแก่นเอาสะใจเป็นที่ตั้ง เช่นนั้น พระราหู จึงสามารถบดบังแสงแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ตามแรงอธิษฐาน แต่ก็เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ที่สุดก็ต้องคายออกมา ฉะนั้นจึงเกิดเป็นเรื่องเล่าในทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับ "คราส" จากพระราหูบดบังแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ เกิดเป็นตำนาน "สุริยคราส" และ "จันทรคราส" เช่นนี้แล
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก โหรชี้ชัด