
หวานแบบไหน เหมาะกับแม่ท้อง (Mother & Care )
อาหารที่มีรสชาติหวานเป็นที่ถูกปากของใครหลายคน รสหวานทำให้กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี และคนส่วนใหญ่ ก็จะเพลิดเพลินกับอาหารรสหวาน จนเกินความต้องการของร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับอาหารรสหวานว่ากินแค่ไหนจึงจะพอดี สำหรับแม่ท้องกันค่ะ
แม่ท้องหวานแค่ไหนถึงพอดี
ขณะที่ตั้งครรภ์ อาจจะมีภาวะเบาหวานแทรกซ้อนได้ง่าย และต้องระวังเป็นพิเศษถ้าครอบครัวใดมีคนที่เป็นเบาหวานด้วย แต่ถึงจะไม่มีสมาชิกในครอบครัวคนใดเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน คุณแม่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องความหวานเช่นกัน เพราะถ้าตามใจปากมากเกินไป ทำให้น้ำหนักตัวเกินพิกัด มีผลต่อการคลอดได้เช่นกัน (ตามมาด้วยรูปร่างหลังคลอดที่จะลดลงยากเป็นเงาตามตัว) ดังนั้น คุณหมอจึงแนะนำให้คุณแม่ท้อง ควบคุมการกินอาหารหวานให้อยู่ในขอบข่ายที่พอดี คือ ไม่กินตามใจปาก ลดอาหารหวานให้มากที่สุด และใช้วิธีควบคุมการกินน้ำตาลหรือของหวานดังต่อไปนี้
 ดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่ใส่น้ำตาล แทนน้ำอัดลม
 ดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่ใส่น้ำตาล แทนน้ำอัดลม  ลดน้ำตาลในการปรุงอาหารครึ่งหนึ่งจากที่เคยชิน
 ลดน้ำตาลในการปรุงอาหารครึ่งหนึ่งจากที่เคยชิน กินผลไม้สด และผักให้มากๆ จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลอย่าง เพียงพอ
 กินผลไม้สด และผักให้มากๆ จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลอย่าง เพียงพอ  หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปต่างๆ หรือถ้าจำเป็นควรดูฉลากที่ระบุ สารอาหารว่ามีน้ำตาลมากน้อยเพียงไร
 หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปต่างๆ หรือถ้าจำเป็นควรดูฉลากที่ระบุ สารอาหารว่ามีน้ำตาลมากน้อยเพียงไร  บ้วนปาก หรือแปรงฟันหลังมื้ออาหาร หรือหลังจากกินอาหารหวานๆ แล้วควรใช้ไหมขัดฟัน อย่างน้อยวันละครั้งเพื่อไม่ให้มีเศษอาหารตกค้างตามร่องฟัน
 บ้วนปาก หรือแปรงฟันหลังมื้ออาหาร หรือหลังจากกินอาหารหวานๆ แล้วควรใช้ไหมขัดฟัน อย่างน้อยวันละครั้งเพื่อไม่ให้มีเศษอาหารตกค้างตามร่องฟัน  หากต้องใช้น้ำตาล ควรเลือกน้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลสีรำ แทนน้ำตาลทรายขาว
 หากต้องใช้น้ำตาล ควรเลือกน้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลสีรำ แทนน้ำตาลทรายขาว  ไม่ควรกินน้ำตาลทรายเกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน (ในคนที่ร่างกายปกติสมบูรณ์)
 ไม่ควรกินน้ำตาลทรายเกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน (ในคนที่ร่างกายปกติสมบูรณ์)  โดยปกติที่เรากินข้าว ผัก ผลไม้ก็จะได้รับน้ำตาลเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว
 โดยปกติที่เรากินข้าว ผัก ผลไม้ก็จะได้รับน้ำตาลเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว เรารับรสหวานได้อย่างไร
มนุษย์จะไวต่อรสหวานมากที่สุด เพราะบนลิ้นมีต่อมรับรสหวานมากกว่ารสชาติอื่น ๆ ดังนั้นถ้าเรากินอาหารรสหวานบ่อย ๆ ก็จะติดรสชาติหวาน โดยเฉพาะการกินน้ำตาลที่เราใส่เพิ่มเติมให้อาหารต่าง ๆ ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่อาหารจากธรรมชาติก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว เช่น
 คาร์โบไฮเดรต เมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส แล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป ไปเป็นพลังงานให้กับเซลล์อวัยวะต่าง ๆ
 คาร์โบไฮเดรต เมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส แล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป ไปเป็นพลังงานให้กับเซลล์อวัยวะต่าง ๆ  ผลไม้เกือบทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นำไปใช้ได้ทันที
 ผลไม้เกือบทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นำไปใช้ได้ทันที  อาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น น้ำสลัด นม โยเกิร์ต ขนมเค้ก หรือแม้แต่ซอสปรุงรสก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
 อาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น น้ำสลัด นม โยเกิร์ต ขนมเค้ก หรือแม้แต่ซอสปรุงรสก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 
          
         
 










