พัฒนาการทารกในครรภ์ ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ได้ 2-3 เดือน สมองของลูกน้อยก็เริ่มทำงานและรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว พอ 3-4 เดือน ประสาทหูและประสาทตาของลูกเริ่มทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถรับรู้เสียงที่ดังขึ้นและแสงที่จ้าจากภายนอกได้แล้ว
กระทั่งอายุครรภ์ได้ 5-6 เดือน ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของลูกในครรภ์สมบูรณ์เต็มที่ ส่งผลให้ลูกน้อยไวต่อการสัมผัส รวมถึงสามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และสื่อสารให้คุณแม่รับรู้ได้ด้วยการเคลื่อนไหว เตะ ถีบ เป็นต้น
จึงพอจะเห็นแล้วว่า ลูกน้อยสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และที่สำคัญคือ ลูกสามารถเรียนรู้และซึมซับอารมณ์ของแม่ได้ด้วย ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะนำไปสู่พื้นฐานทางอารมณ์และจิตใจที่ดีของลูกต่อไปในอนาคต
ดังนั้นมากระตุ้นลูกน้อยกันตั้งแต่ในครรภ์ดีกว่า เพื่อลูกจะได้เติบโตและมีพัฒนาการดีรอบด้านค่ะ
10 วิธี ง่าย ๆ ช่วยกระตุ้นลูกรักในครรภ์
นี่คือวิธีการกระตุ้นพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของลูกน้อยในครรภ์อย่างง่าย ๆ ที่แม่ตั้งครรภ์สามารถทำได้ทันที
1.คิดบวกไว้ก่อน
การมองโลกในแง่บวก ช่วยให้แม่ตั้งครรภ์สามารถจัดสมดุลทางอารมณ์ของตัวเองได้ดีแล้ว สร้างความรู้สึกดี ๆ จิตใจผ่องใส พูดคุยถึงแต่เรื่องดี ๆ จึงเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้ลูกรับรู้แต่เรื่องดี ๆ และอยากจะเกิดมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มากขึ้น
2.ไม่เครียด
ความเครียดของแม่ส่งผลต่อลูกในครรภ์โดยตรง เพราะนอกจากลูกคลอดออกมาเป็นเด็กขี้แย โยเย และเลี้ยงยากแล้ว ฮอร์โมนของความเครียดนี้ยังจะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของสมองลูกอีกด้วย เพราะสเตียรอยด์จากเปลือกหมวกไตจะเพิ่มระดับสูงขึ้นยามที่คนเราเกิดความรู้สึกเครียดหรือถูกกดดัน และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างสมองส่วนเส้นใยประสาท ทำให้ระดับเชาวน์ปัญญาของลูกลดต่ำลงในที่สุด
3.หายใจลึก ๆ เข้าไว้
การหายใจเข้าลึก ๆ เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ช่วยให้แม่ตั้งครรภ์รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้ดีที่สุด แถมยังส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์ เพราะลูกสามารถสัมผัสถึงความสุขสงบภายในตัวแม่ และรับรู้ถึงความรักที่แม่มีให้ตลอดเวลา พัฒนาการทางสมองของลูกก็เป็นไปด้วยดี แถมสารเคมีในสมองยังได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อปกป้องลูกจากฮอร์โมนความเครียด และช่วยให้สามารถจัดการกับความเครียดของตัวเองได้เมื่อโตขึ้นด้วย
4. พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ
ขณะที่แม่พูดคุยหรือร้องเพลงให้ลูกฟัง ลูกจะตั้งใจฟังอย่างดี พิสูจน์ได้จากอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะช้า ๆ และยังช่วยให้ลูกดูดกลืนน้ำคร่ำได้เร็วกว่าปกติอีกด้วย แถมยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านอารมณ์และความรู้สึกของลูกได้ดี
5. ยิ้มรับทุกสถานการณ์
การยิ้มจะช่วยให้ "เซโรโทนินฮอร์โมน" หรือฮอร์โมนอารมณ์ดีแผ่กระจายไปในกระแสเลือด และส่งผ่านสู่ลูกน้อยในครรภ์ให้รู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบได้ ทุกครั้งที่คุณยิ้ม ลูกในครรภ์ก็กำลังพยายามจะยิ้มด้วยเช่นกัน
6. เล่นสนุกกับลูก
การเล่นเกมกับลูกในครรภ์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการได้ ง่าย ๆ ยกตัวอย่างเช่น เกมเตะเลยลูก เพียงแค่เวลาที่ลูกเตะหรือศอก ให้แม่ตั้งครรภ์สัมผัสตรงบริเวณที่ลูกเตะ แล้วพูดว่า "เตะเลยลูก เตะอีก ๆ" จากนั้นลองสัมผัสท้องส่วนอื่น ๆ เพื่อให้ลูกเป็นฝ่ายไล่ตามสัมผัสบ้าง พร้อมกับพูดคำเดิมค่ะ
7. ผักช่วยได้
ลูกน้อยจะพัฒนาประสาทการรับรสได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 14 สัปดาห์แล้ว และการเลือกกินอาหารของแม่ตั้งครรภ์จึงส่งผลต่อความพึงพอใจในการกินอาหารของลูกน้อยด้วยเช่นกัน มีการศึกษาชิ้นหนึ่งได้แบ่งแม่ตั้งครรภ์ออก เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้แม่ท้องดื่มน้ำ บรอกโคลี กลุ่มที่ 2 ดื่มน้ำแครอท และกลุ่มที่ 3 ดื่มน้ำเปล่าทุกวัน จากนั้นก็ตามดูหลังคลอดพบว่า พฤติกรรมการกินอาหารเหลวครั้งแรกของเด็ก ๆ จะกินอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำผักที่แม่เคยดื่มระหว่างตั้งครรภ์มากกว่าอาหารอื่น ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่าการกินผักของแม่ในช่วงตั้งครรภ์จะช่วยให้ลูก ๆ กินผักเหล่านั้นได้เมื่อเติบโตขึ้น
8. นวด นวด นวด
การนวดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทลูกน้อยให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย เพียงหาช่วงเวลาสงบ เอนกายท่าที่สบาย ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก อาจจะเปิดเพลงบรรเลงคลอเบา ๆ ไปด้วยก็ได้ ใช้น้ำมันสกัดจากธรรมชาติ เช่น มะกอกหรือมะพร้าว ถูที่มือเบา ๆ (ช่วงตั้งครรภ์ ควรเลี่ยงใช้น้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์ และน้ำมันหอมระเหยต่าง ๆ ค่ะ) แล้วค่อย ๆ ลูบไล้ไปที่ท้องอย่างแผ่วเบาแต่ลุ่มลึก โดยเน้นบริเวณที่สัมผัสถึงลูกน้อย แต่ถ้าเมื่อไรที่ลูกเตะให้หยุด แล้วค่อยนวดต่อหลังจากที่ลูกหยุดเตะแล้วค่ะ
9. ออกกำลังกาย
ช่วยให้ลูกในครรภ์อารมณ์สงบและผ่อนคลาย เพราะขณะที่คุณแม่ออกกำลังกายในท่วงท่าและระยะเวลาที่เหมาะสม จะทำให้ออกซิเจนไหลผ่านกระแสเลือดของลูกน้อยได้ดีขึ้น ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตโดยเฉพาะสมอง และหลังออกกำลังกาย ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ที่ช่วยให้แม่ตั้งครรภ์และลูกรู้สึกถึงความสุขสงบไปได้อย่างยาวนานต่อเนื่องถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
10. มอบความรักแก่คนรอบข้าง
ขณะที่มีความรัก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนแห่งความรัก ที่ชื่อ "ออกซิโตซิน" ขึ้นมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนเดียวกันกับที่ทำให้คุณแม่รู้สึกรักและผูกพันกับลูกมากขึ้น การมอบความรักความปรารถนาดีต่อคนรอบข้าง จึงช่วยให้ร่างกายของแม่หลั่งออกซิโตซินมากขึ้น และฮอร์โมนทั้งหมดที่ส่งผ่านรกไปสู่ลูก จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกเช่นเดียวกันกับคุณด้วย
คุณพ่อก็มีส่วนร่วมได้
คุณพ่อก็สามารถช่วยคุณแม่สร้างสัมพันธภาพกับลูกได้ไม่ยากเลย เพียงแค่
หมั่นพูดคุยกับลูก เพราะความจริงแล้ว ลูกน้อยในครรภ์จะสามารถฟังเสียงทุ้มๆ ของคุณพ่อได้ดีกว่าเสียงเล็กๆ ของแม่เสียอีก
สัมผัสรูปคลำท้องคุณแม่ เพื่อรับรู้ความรู้สึกขณะที่ลูกเคลื่อนไหว และจูบที่ท้องของคุณแม่เบาๆ เพื่อส่งผ่านความรักถึงลูกน้อย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก