เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เมื่อมีลูก คุณแม่หลาย ๆ คนอาจตัดสินใจออกจากงานเพื่อทุ่มเวลาให้กับการเลี้ยงดูลูกอย่างดีที่สุด แต่หลาย ๆ คนจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากกว่าหากสามารถเลี้ยงลูกและทำงานไปได้พร้อม ๆ กัน รวมทั้งยังมีคุณแม่อีกกลุ่มที่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกควบคู่ไปกับการทำงานเพราะความจำเป็นในสภาพการเงินของครอบครัว การทำงานของคุณแม่จะลื่นไหลไปได้ดีหากที่ทำงานมีเพื่อนร่วมงานทั้งผู้หญิงและผู้ชายพอ ๆ กัน แต่หากที่ทำงานของคุณแม่นั้นเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชาย ที่สุดแล้วคุณแม่มีโอกาสตัดสินใจลาออกได้สูง สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกัน?
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนน่า ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Gender & Society พบว่า ผู้หญิงที่เป็นแม่คนแล้วมีโอกาสในการลาออกจากงานที่ตนทำอยู่มากกว่าหญิงที่ยังไม่มีลูกถึง 52% ซึ่งความเป็นไปได้นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะในสังคมการทำงานที่จัดว่าเป็นอาชีพที่ทำงานหนัก (ทำงานเกิน 50 ชั่วโมง/สัปดาห์) และมีผู้ชายประกอบอาชีพเหล่านี้กัยเป็นส่วนใหญ่ เช่น วิศวกร ทนาย แพทย์ งานในบริษัทหลักทรัพย์ ฯลฯ
คนทั่วไปมักคิดว่างานที่หนัก และชั่วโมงการทำงานที่เยอะและยาวนาน คือเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้คุณแม่ตัดสินใจลาออก แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่เช่นนั้น หลังจากได้พบว่าแม้จะเป็นงานที่ใช้แรงงาน และชั่วโมงการทำงานก็ยาวนาน หญิงซึ่งเป็นแม่คนก็ยังอึดสู้งาน ไม่มีแนวโน้มว่าจะลาออกแต่อย่างใด แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับงานที่รายได้ดีกว่าและมีชั่วโมงการทำงานเท่า ๆ กันกลับพบว่า คุณแม่กลับเกิดความรู้สึกท้อจนคิดลาออก โดยต้นตอที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ก็คือ สภาพแวดล้อมเรื่องเพศของเพื่อนร่วมงานในที่ทำงาน
แม้จะงานหนัก แต่หากมีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้หญิง หรือมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนเท่า ๆ กัน คุณแม่ก็ยังสู้งานไหว แต่ในสังคมการทำงานที่มีผู้ชายเป็นหลัก (มีพนักงานชายคิดเป็นสัดส่วน 70% ขึ้นไป) ตะทำให้คุณแม่รู้สึกเครียด กดดัน และท้อแท้จนตัดสินใจลาอกจากงาน เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า สถานที่ทำงานซึ่งเต็มไปด้วยหนักงานชาย มักถูกปกคลุมไปด้วยความคิดที่ล้าสมัย ว่าชายต้องเป็นช้างเท้าหน้า มีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนหญิงที่มีลูกแล้วควรทำตัวเป็นแม่ที่ดีด้วยการเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน หาใช่ออกมาทำงานนอกบ้านอย่างหนักและยาวนาน ไม่ว่าจะความคิดนี้จะแสดงออกหรือไม่ จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ผู้เป็นแม่ก็สามารถรับรู้สึกความรู้สึกนี้ได้ และกลายเป็นแรงกดดันในการทำงาน ส่งผลให้พวกเธอรู้สึกท้อจนตัดสินใจลาออกจากงานได้ในที่สุด
ต้องยอมรับว่าสังคมในยุคปัจจุบัน มีผู้หญิงที่ทั้งทำงานไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วยอยู่มากมาย สิ่งที่เธอต้องเจออยู่แน่นอนก็คือความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่แม่ (รวมทั้งหน้าที่ภรรยา) และหน้าที่การงาน ความเครียดจากจุดนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่มันสามารถทวีคูณขึ้นได้หากพบกับความกดดันกับสภาพแวดล้อมชายเป็นใหญ่ในที่ทำงาน หากคุณแม่มีมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ดี ลองร่วมกันแชร์ปัญหาและวิธีแก้ไขกันดูได้นะคะ เพราะเชื่อแน่ว่าคงมีคุณแม่หลาย ๆ คนที่กำลังตกอยู่ในสภาพปัญหาที่ว่านี้เช่นกัน
