เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ควรให้เวลาลูกเล่นแท็บเล็ตนานแค่ไหน คงเป็นปัญหาโลกแตกที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องกุมขมับกันเป็นแถว แล้วเราจะพิจารณาจากไหนดีล่ะว่า ควรปล่อยให้ลูกอยู่กับแท็บแล็ตนานแค่ไหนถึงจะเหมาะสม ?
ชีวิตในยุคสังคมก้มหน้าไม่ได้เจาะเฉพาะกลุ่มวัยทำงานเท่านั้น ทว่าแม้แต่เด็ก ๆ วัยซนที่พอจะรู้ประสาก็เริ่มก้มหน้าง่วนอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดเล็กจนกลายเป็นภาพที่คุ้นตากันไปแล้ว ครั้นพอคุณพ่อคุณแม่จะหักดิบโดยยื่นของเล่นชิ้นอื่นให้เขา เด็ก ๆ ก็กลับงอแงและเลือกที่จะใช้เวลาอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมแทนซะอย่างนั้น เอาล่ะ ! ในเมื่อแยกลูกรักออกจากแท็บเล็ตไม่ได้ เรามาพิจารณาเวลาที่ควรอนุญาตให้ลูกเล่นแท็บเล็ตโดยใช้ 4 เหตุผลต่อไปนี้เป็นตัวช่วยตัดสินใจดีกว่า
1. ถามลูกถึงเหตุผลในการใช้แท็บเล็ตก่อนเข้าไปกะเกณฑ์เวลาเล่นแท็บเล็ตของลูกรัก คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ก่อนว่า เหตุผลหลัก ๆ ที่ลูกใช้แท็บเล็ตคืออะไร หากเขาใช้แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา ควรกำหนดเวลาให้เขาได้อยู่กับแท็บเล็ตประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง หลังจากนั้นจึงค่อยปล่อยให้เขามีเวลาเล่นแท็บเล็ตชิล ๆ ไปสัก 1 ชั่วโมง แต่ในกรณีที่ลูกรักของคุณใช้แท็บเล็ตเพื่อเล่นเกมเพียว ๆ อย่างนี้ควรกำหนดเวลาในการอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมให้เขาแค่ 1 ชั่วโมงถ้วนก็พอ พร้อมทั้งควรจะหากิจกรรมอย่างอื่นมาโน้มน้าวให้ลูกเลิกสนใจแท็บเล็ตบ้าง
2. เล่นได้ แต่ต้องกำหนดเวลาในกรณีที่ลูกน้อยยังเล็กเกินกว่าที่จะใช้แท็บเล็ตเสริมการศึกษา แต่เขาใช้แท็บเล็ตเพื่อเล่นเกมมากกว่า แบบนี้คุณพ่อคุณไม่ก็ไม่ควรห้ามเขาเล่นแท็บเล็ตนะคะ เพียงแต่พูดคุยกับเขาให้เข้าใจว่าเราอนุญาตให้เขาเล่นแท็บเล็ตได้นานแค่ไหน (อาจจะสัก 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ) แล้วพยายามรักษากฎที่ตัวเองตั้งไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การมีระเบียบวินัยไปในคราวเดียวกันด้วย
3. สร้างตารางเวลากำหนดกิจกรรมของลูกรักเด็ก ๆ ควรเสริมสร้างพัฒนาการด้วยการเรียนและเล่น ซึ่งรวมไปถึงการออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง เปิดประสบการณ์ไปกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย ดังนั้นหากไม่อยากให้ลูกขลุกอยู่กับแท็บเล็ตเพียงอย่างเดียว แนะนำให้ผู้ปกครองกำหนดตารางเวลาทำกิจกรรมในแต่ละวันของลูกรักอย่างเหมาะสม เช่น กำหนดเวลาเล่นแท็บเล็ตในช่วงเช้า 30 นาที และช่วงบ่าย 30 นาที คละเคล้าไปกับเวลาเล่นวิ่งกลางสนาม หรือหากิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ทั้งครอบครัวเข้าไปด้วย
4. มอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบการมอบหมายหน้าที่บางอย่างให้อยู่ในความรับผิดชอบของลูกรัก เป็นต้นว่า ขอให้เขาช่วยกรอกน้ำใส่ขวด รดน้ำต้นไม้ หรืออาบน้ำน้องหมา และให้อาหารน้องแมว โดยกำหนดเวลาปฏิบัติแต่ละหน้าที่อย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อฝึกให้เขาได้เรียนรู้การบริหารเวลาด้วยตัวเอง และนับว่าเป็นการฝึกความรับผิดชอบของเจ้าตัวเล็กไปพร้อม ๆ กันด้วยจ้า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีมีประโยชน์และส่วนสำคัญกับพัฒนาการของลูกรักไม่น้อยเลยทีเดียว ทว่าหากเราสามารถสอดแทรกกิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อมือและแขน ก็จะช่วยให้ลูกรักเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นนะคะ
