x close

Happy with my baby...อุ๊ หฤทัย

อุ๊ หฤทัย

Happy with my baby...อุ๊-หฤทัย
(M&C แม่และเด็ก)
เรื่อง : น้อง ณ เรวดี ภาพ : พี่ไม้

          หากจะพูดถึงนักร้องหญิงคุณภาพของเมืองไทย ถ้าไม่เอ่ยชื่อเธอคนนี้ เห็นทีคงไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีน้ำเสียงอันทรงพลังแล้ว เธอยังมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี ในวันนี้เธอมาในลุคใหม่ในภาพคุณแม่ตั้งครรภ์ และเธอก็ได้ให้เกียรติ M&C แม่และเด็ก มาโชว์เพ้นท์ท้องฉลองปีใหม่ หลายคนคงมีข้อสงสัย ทั้งเรื่องเส้นทางกว่าจะมาเป็น อุ๊ หฤทัย ในวันนี้ เธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาเป็นนักร้องดังได้อย่างไร รวมถึงคำถามที่ว่าเจ้าของหัวใจของเธอเป็นใคร...ไปหาคำตอบกันค่ะ

          เด็กหญิงหฤทัย ม่วงบุญศรี เกิดและเติบโตในกรุงเทพฯ แต่ชีวิตในวัยเด็กของอุ๊ที่บ้านสวนริมคอลง ย่านลาดกระบังนั้นไม่เหมือนเด็กชาวกรุงทั่ว ๆ ไป เพราะในแต่ละวันเธอสนุกสนานกับการว่ายน้ำคลอง ปีนต้นมะม่วง จับปลาในท้องร่อง และหิ้วปิ่นโตลงเรือไปทำบุญที่วัดมาตลอด ด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันนี้เอง ทำให้เธอมีความสุขและสนุกกับการอยู่บ้านสวนเป็นอย่างมาก

ใฝ่ฝันอยากเป็นจิตรกร

          อุ๊เริ่มต้นเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนอโศกวิทย์ และชั้นมัธยมที่โรงเรียนศรีวิกรม์ แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยชอบไปเรียนหนังสือนัก ทำให้ไปเรียนสายอยู่เสมอ "ตอนเรียนอยู่ชั้น ม. 3 อุ๊ต้องอยู่ประจำ แล้วที่ศรีวิกรม์เค้าบังคับให้เรียนพิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็เลือกเรียนเขียนรูป เพราะไม่อยากไปเรียนภาษาอังกฤษ หรือคณิตศาสตร์ พอเรียนแล้วอาจารย์ท่านก็แนะนำว่า ถ้าจบแล้วให้ไปต่อที่วิทยาลัยช่างศิลป์ เราก็เลยไปติว แล้วสอบเข้าที่วิทยาลัยช่างศิลป์ได้

          ...สมัยก่อนที่ช่างศิลป์ยังไม่มีแยกสาขานะ เรียนรวมทั้งหมด การบ้านจะเยอะ มีทั้งศิลปะไทย ลายไทย สถาปัตยกรรมไทย เซรามิค สีน้ำ เพ้นท์ติ้ง ดรอว์อิ้ง เรียน 3 ปีเนี่ยเรียนคณิตศาสตร์ไม่เทอมเดียวนะ ชอบมากเลย เราเองก็มีความฝันว่าอยากเป็นครูสอนศิลปะเด็ก หรือไม่ก็เป็นจิตรกร อยากเขียนรูป ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น ตอนเช้ามาก็นั่งคุยกับเพื่อน ๆ เรื่องการเขียนรูป เรื่องงานศิลปะ ทุกคนจะมีความฝันคล้าย ๆ กัน คืออยากเอ็นทรานซ์เข้าศิลปากรเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ตัวเราเองกลับไม่ได้เอ็นทรานซ์ เพราะมีจุดหักเหของชีวิตเกิดขึ้น

จากงานศิลปะ...สู่การร้องเพลง

          "คือเราชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กแล้ว อยู่บ้านสวนก็จริง แต่ครอบครัวเรามาจากในเมือง คุณพ่อคุณแม่ก็ฟังเพลงสากล พวกเดอะบีทเทิล คาร์เพนเตอร์ เป็นเพลงยุค "60–70 " ทั้งนั้น แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ชอบพาไปดูคอนเสิร์ตทุกปี อย่างคาราบาวคาราวาน ก็เลยเป็นคนที่ชอบเสียงเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนที่สอบเข้าช่างศิลป์ เราก็ขอเงินแม่ไปซื้อหนังสือติว กลับมาบ้านได้แต่หนังสือเพลง เลยต้องมาขอเงินเพิ่ม เพราะว่าไปเดินมาบุญครองแล้วไปเจอหนังสือบัตเตอร์ฟลาย ก็ตกใจ นี่มันเพลงที่เราเคยฟังตอนเด็ก ๆ นี่นา ก็มีหลาย ๆ เพลงที่เราชอบ เราดูปุ๊บเราก็ร้องได้เลย เพราะคำมันไม่ยาก พออยากได้ เลยซื้อหนังสือนั่นกลับบ้าน แล้วหนังสือเล่มนั้น เป็นหนังสือที่เราใช้ร้องเพลง ตอนที่จะมาเป็นนักร้องอาชีพค่ะ

          ...คือน้าสาวเค้าชอบเที่ยว แล้วเค้ารู้ว่าเราร้องเพลงสากลมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยพาเราไปแนะนำกับเจ้าของร้าน เหมือนพาเราไปอวด แล้วเจ้าของร้านก็ชอบ ก็ให้เราร้องเพลงตอนกลางคืนพอได้เงินเราก็ดีใจ รู้สึกภูมิใจว่ามันเป็นเงินที่ได้จากการร้องเพลง ตอนอยู่บนเวที มันสบายอกสบายใจ โดยสัญชาตญาณมันบอกว่าใช่ ก็กลายเป็นช่วงเริ่มต้นของการร้องเพลงอาชีพค่ะ

          ...ตอนร้องเพลงแรก ๆ ก็เขินเหมือนกัน แต่ว่าแป๊บเดียวก็ปรับตัวได้ แล้วตอนนั้นพ่อกับแม่ก็หย่ากันแล้ว ช่วงนั้นคุณแม่ก็ลำบากมาก เหมือนไม่มีเสาหลักของครอบครัว มันก็เป็นส่วนนึงของการตัดสินใจด้วยว่าเราอยากดูแลตัวเอง ไม่ต้องไปขอเงินแม่"

เพราะป้อม-อัสนี...ชีวิตเปลี่ยน

          "ก็เริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุ 18-19 อยู่ที่หลังสวน ตอนนั้นได้รับนามบัตรเยอะ มีของค่ายเพลงเกือบทุกบริษัทเลยนะ แล้ววันนึงพี่ป้อม-อัสนี โชติกุล ก็มาฟัง เราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าพี่ป้อมจะมา แล้วตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้คิดว่าจะออกเทปเป็นนักร้องนะ เพราะคิดว่าการร้องบนเวทีคอนเสิร์ตกับการร้องในผับเนี่ย มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันคนละแบบ แต่พอมาเจออัสนี โชติกุล ทำให้เราเปลี่ยนความคิดไปเลย พอพี่ป้อมบอกว่ากำลังทำมอร์มิวสิคนะ สนใจมาร่วมงานไหม เราก็ตอบตกลงทันทีเลยค่ะ

          ...หลังจากนั้นก็เข้ามอร์มิวสิค เริ่มทำงานเพลง ใช้เวลาตั้ง 9 เดือนในในสตูดิโอ กว่าจะได้ออกชุดแรกในนามเปเปอร์แจม เพราะนโยบายของมอร์มิวสิคคือต้องเป็นนักดนตรี ต้องทำดนตรีเอง เราก็เลยต้องหาเพื่อน หาพี่ที่มีประสบการณ์ทำเพลง แล้วก็ช่วยกันทำ ทั้งเนื้อร้อง เมโลดี้ เรียบเรียง ก็ทำงานกันนานกว่าพี่ป้อมจะให้ผ่านได้ค่ะ"

แจ้งเกิด...ในนาม เปเปอร์แจม

          "ตอนที่ออกอัลบั้มก็คาดหวังนะอยากให้มันออกมาดีแหละ คนก็พูดถึงเยอะนะ แต่มันก็ไปได้ไม่ค่อยแรงเท่าไหร่หรอก เพราะว่ามันเป็นปีที่ฟองสบู่แตก เป็นวันเดียวกับที่ค่าเงินบาทลอยตัวพอดี คนกำลังอยู่ในช่วงความทุกข์ เป็นครั้งแรกที่คนไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจ ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่เราก็ได้ประสบการณ์นะ ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับเปเปอร์แจม ได้ทำงานกับพี่ป้อม-อัสนี มันก็เป็นงานที่สนุกนะ

          ...วงเปเปอร์แจมออกมาแค่อัลบั้มเดียว ด้วยพิษเศรษฐกิจ งานมันก็เลยมีน้อย ทุกคนก็เลยแยกย้ายกันไป เราก็กลับไปร้องเพลงตามห้องอาหารที่หลังสวนเหมือนเดิม ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คิดเพียงแต่ว่าเราเลือกทำในสิ่งที่เรามีความสุข ก็ร้องไปได้พักใหญ่ ๆ แล้วพี่นิ่ม สีฟ้าก็เป็นตัวแทนของพี่ดี้ นิติพงศ์ ห่อนาค มาชวนไปทำงานก็เลยได้ทำอัลบั้มเดี่ยว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ได้แต่รางวัลสีสันอวอร์ด นักร้องหญิงเดี่ยวยอดเยี่ยม หลังจากนั้นก็ทำอัลบั้มเซเว่นร่วมกับซูเปอร์สตาร์ ช่วงนั้นที่คนเริ่มกลับมาจำได้ แล้วก็ทำอัลบั้ม "เดอะ วอยซ์" ก็ได้รางวัลสีสันอวอร์ดอีกครั้งนึงค่ะ"

เข้าสู่การเมือง

          นอกจากเส้นทางสายดนตรีของร็อกเกอร์สาวอย่าง อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรีที่ทุกคนรู้จักกันแล้ว การเมืองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เธอสนใจและปัจจุบันก็ยังคงทำอยู่ นั่นก็คือการเป็นสมาชิกสภาเขต (สข.) ซึ่งเรื่องนี้เธอได้เล่าให้ฟังว่า

          "คือเราสนใจการเมืองตั้งแต่เด็ก ๆ นะ เพราะว่าที่บ้าน ปู่ย่าตายายเค้าก็สนใจการเมืองกันมาตลอด เราก็จะนั่งฟังเค้าพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์การเมืองตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วเค้าก็พาเราไปฟังปราศรัยใหญ่ ข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ เราก็ติดตาม พูดคุยกันสนุกสนาน ก็เลยทำให้เราชอบและสนใจการเมือง และมีความคิดว่าถ้าคนที่อยู่ในประเทศให้ความสนใจการเมือง ติดตามข้อมูลข่าวสาร จะทำให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงวุ่นวาย ความขัดแย้งมันจะมีน้อยลง ถ้าทุกคนเข้าใจกฎหมาย กติกาของบ้านเมือง

          ...วันนึงคุณลุงที่ทำค่ายมวยอยู่ ท่านลงสมัครในเขตคลองเตย แต่แพ้ ก็เลยชวนเราไป เราก็ชอบอยู่แล้ว ก็เลยลงสมัครสมาชิกสภาเขตในปี 49 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เขตพระโขนง ก็ไปหาเสียงกันเป็นเดือนค่ะ แล้วเราก็สอบได้ จนถึงวันนี้ก็เป็น สข. สมัยที่ 2 แล้วค่ะ"

          หลังจากได้รู้จักทั้งเส้นทางกว่าจะมาเป็นร็อคเกอร์สาว รวมถึงการเป็นสมาชิกสภาเขตของ อุ๊-หฤทัยกันไปแล้ว ถึงคราวที่ต้องมาล้วงลึกเรื่องราวเจ้าของหัวใจของเธอว่าเป็นใครมาจากไหนแล้วรักกันได้ยังไง รวมทั้งถามไถ่ถึงเจ้าตัวน้อยในครรภ์กันด้วยค่ะ

รุ่นน้องหน้าตาดี...แอบมีใจ

          "กับสามี จริง ๆ ก็เจอกันมานานแล้ว เพราะว่าเพื่อนที่วิทยาลัยช่างศิลป์เค้าไปเอ็นทรานซ์ได้ที่มหาวิทยาลัยบูรพา เราก็เลยได้ไปรู้จักเค้าในฐานะรุ่นน้องของเพื่อน ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นแฟนกันนะ แต่เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเค้าเป็นรุ่นน้องที่หน้าตาน่ารักดี ก็ชอบนะตัวเค้าเองก็รู้จักเรา ชอบฟังเพลงที่เราร้องอยู่แล้ว หลังจากที่เค้าเรียนจบ ก็เริ่มสนิทกัน ไปมาหาสู่กันตลอด สนิมสนมจนเป็นแฟนกันค่ะ

          ...พื้นฐานนิสัยเค้าเป็นคนใจเย็น เป็นคนสุภาพ รักคุณพ่อคุณแม่ ตรงจุดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนจิตใจดี ก็เลยชอบผู้ชายคนนี้ แต่ไม่มีการจีบกันนะ ชอบกันไปเอง พอเป็นแฟนกัน ไม่นานก็แต่งงานกัน วันที่ 26 มกราคม 2547 แต่เราไม่ได้จัดงานแต่งงานนะคะ เพราะคิดว่ามันฟุ่มเฟือย แล้วเราก็ไม่มีเงินที่จะไปเลี้ยงฉลองอะไรใหญ่โต คิดว่าจดทะเบียนสมรสกันก็พอ ในความคิดของเราคือ ไม่อยากให้มันเอิกเกริก ถ้าเราจะร่วมชีวิตกัน มันก็เป็นเรื่องของคนสองคน บอกแค่ผู้ใหญ่ของเราทั้งคู่ก็พอแล้วค่ะ"

ซีสต์และเนื้องอก...ไม่เป็นอุปสรรค

          "ตอนแรกที่แต่งงานกัน เรายังไม่อยากมีลูกนะ เพราะว่าการใช้ชีวิตของเรามันยังสนุกอยู่ ยังอยากเที่ยวอยู่ ยังห่วงเพื่อน ห่วงไปปาร์ตี้ อยากเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัดใช้ชีวิตแบบไม่ต้องมีภาระ แต่มาเปลี่ยนความคิดตอนช่วงที่ไม่สบาย พอไปตรวจแล้วคุณหมอบอกว่าพบช็อคโกแลตซีสต์ ต้องผ่าตัด พอดีว่าช่วงนั้นมีคอนเสิร์ตติด ๆ กันเยอะมากทำให้ผ่าตัดไม่ได้ พอเคลียร์งานเสร็จแล้ว ก็เลยนัดหมอ แต่พอผ่าจริง ๆ ยากกว่าที่คิดเพราะว่าช็อคโกแลตซีสต์มันเป็นแค่ส่วนนึง แต่ว่าคุณหมอเค้าเจอก้อนเนื้องอกด้วย ก็เลยต้องผ่าออก ก้อนแรกใช้เวลา 3 ชั่วโมง ผ่าตัดเสร็จ 5 โมงเย็น หมอบอกว่าเอาแค่นี้ก่อนยังออกไม่หมด เพราะว่าเสียเลือดเยอะ หลังจากนั้นเราก็ต้องฉีดฮอร์โมนให้เข้าสู่ผู้เป็นวัยทอง ไม่ให้มีรอบเดือนเพื่อให้ซีสต์แห้ง เราก็เลยรู้ตัวแล้วว่าเราเป็นผู้มีบุตรยาก ตอนนั้นเองที่มีความรู้สึกว่าเริ่มอยากมีลูกแล้วค่ะ

          ...พอผ่านไปครึ่งปี รอบเดือนเริ่มกลับมา เราสองคนก็เลยคิดกันว่ามีลูกดีกว่า ก็เลยปล่อยตามธรรมชาติ แต่ยังไงก็ไม่ติด ก็ไปหาคุณหมอ หมอก็บอกว่าต้องทำกิฟท์ จนกระทั่งกลางปี 54 ก็ไปหาหมออีกครั้ง ท่านก็บอกว่าท่อนำไข่ตัน ถ้าอยากจะมีลูกต้องเตรียมเงินไว้ทำกิฟท์เท่านั้น แต่พอกลับบ้านไปได้ไม่กี่วันก็ท้องค่ะ พอกลับไปฝากครรภ์ หมอก็บอกว่าฟลุคค่ะ เราก็เลยคิดว่าถ้าเค้าจะมาก็มาเองนั่นแหละ"

แพ้ท้อง...ต้องอาหารไทย

          "ช่วงท้องเดือนที่ 2-4 ก็แพ้มากนะคะ อาเจียนแล้วก็เวียนหัวเหมือนคนเมาเรือเหม็นบุหรี่ เหม็นข้าวมันไก่ แล้วก็นั่งรถแท็กซี่ไม่ได้ อยากกินพวกอาหารไทย ๆ อย่างน้ำพริก เพราะว่าย่าทำให้เรากินตอนเด็ก ๆ อย่างปลาร้าทรงเครื่อง ไข่ลูกเขย แล้วก็เมี่ยงคำ

          ...อุ๊เองก็อยากคลอดธรรมชาตินะ ไม่กลัว แต่จะกลัวการผ่าตัดมากกว่า เพราะเคยผ่าตัดมาแล้วเรารู้ว่ามันเจ็บ คือถ้าคลอดธรรมชาติ พอฟื้นขึ้นมาก็ดูแลลูกได้เลย แต่ถ้าผ่าเราก็ต้องให้คนมาดูแล แทนที่เราจะได้ไปชื่นชมลูก ดูแลเค้าอย่างเต็มที่ กลายเป็นว่าต้องให้คนอื่นมาดูแลเราอีก ตอนที่ไปซาวด์ดูซีสต์ ก็เห็นว่าซีสต์มันอยู่ข้างบน น้องเค้าอยู่ข้างล่าง แบ่ง ๆ กันอยู่ หมอก็บอกว่าคลอดธรรมชาติได้ เพราะซีสต์มันไม่ขวางทางคลอดค่ะ"

Happy with my baby ในแบบอุ๊

          "ใจจริงของเราอยากได้ลูกผู้หญิงแต่สามีอยากได้ลูกผู้ชาย มีแต่คนบอกว่าจะคลอดปีมังกร ต้องเป็นเด็กผู้ชายถึงจะดีค่ะ พอซาวด์รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายก็ดีใจค่ะ เราก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกกันเอง เพราะว่าตัวเราไม่ได้ทำงานประจำ หรือทำงานบริษัท แล้วสามีเค้าก็ไม่ได้ทำงานประจำเหมือนกัน เลยคิดว่ามีเวลาที่จะดูแลลูกกันเองได้ค่ะ

          ...แนวทางการเลี้ยงลูกของเรานั้น คือจะไม่ไปกดดันตัวเอง ที่ต้องเตรียมเงินส่งค่าเทอมแพง ๆ เพราะคิดว่าชีวิตคนเรามันแย่งกันเข้าเรียน แย่งกันสอบเข้ามหาวิทยาลัย แย่งกันทำงาน แต่ว่ามันไม่ได้ตอบคำถาม ความต้องการของชีวิตแต่ละคน ว่าเค้าจะอยู่ตรงไหนแล้วมีความสุข ถ้าลูกเราอยากจะเป็นช่างเย็บผ้าก็ได้ อยากจะเป็นพ่อครัวทำกับข้าวก็ได้ อุ๊คิดว่าความรักความอบอุ่นในครอบครัวสำคัญที่สุด ขอให้พ่อแม่ไม่แตกแยก ก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับเด็กแล้ว ส่วนเรื่องการศึกษา มันอยู่ที่ไอคิวของเด็กถ้าเด็กเรียนเก่ง เราก็ส่งเสริม แต่การส่งเสริมนั้น มันไม่ใช่การที่จะต้องไปเรียนแพง ๆ เพราะคนเป็นนายกเรียนโรงเรียนวัดก็ตั้งหลายคนค่ะ"

          ก่อนจากกันไปในครั้งนี้ อดถามไถ่ไม่ได้กับวันนี้ของ อุ๊ หฤทัย นอกจากผลงานเพลงที่เราจะได้เห็นกันแล้ว เธอยังทำอะไรอยู่อีกบ้าง

วันนี้...กับธุรกิจกางเกงนักมวย

          "เริ่มต้นจากคุณลุงที่ทำธุรกิจค่ายมวยมาชวนให้ไปช่วยงานที่ค่าย เพราะว่าปีนั้นงานเยอะมาก คุณลุงต้องพานักมวยไปชกที่ต่างประเทศ ก็ไม่มีใครช่วย เราเองก็ว่างไม่ได้ทำงานประจำ คุณลุงก็เลยมอบหมายให้ไปช่วยดูหน่อย คอยจัดการ พานักมวยไปชกตามที่ต่าง ๆ ให้ความสะดวกกับนักมวย แล้วมีช่วงนึงที่ตอนนั้นมีข่าวว่าสนามมวยจะย้าย คนก็เลยพากันทิ้งตึก เราก็เลยได้ตึกมาเหมือนเป็นโชคชะตา แล้วคุณแม่อุ๊เป็นช่างเย็บผ้า ก็เลยให้คุณแม่มาช่วยทำตัดเย็บกางเกงนักมวย ตอนนั้นเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ สามีก็ทำงานบริษัทโฆษณา พอแต่งมาได้ปีนึงก็เลยขอให้สามีลาออกมาช่วยคุณแม่ ก็เลยเริ่มเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ตัดเย็บเหมือนห้องเสื้อนั่นแหละ เพียงแต่ลูกค้าไม่ใช่สุภาพสตรี แต่เป็นนักมวย ทำกางเกงมวยไทย มวยสากล แล้วก็พวกเครื่องมวยองค์ประกอบต่าง ๆ ปัจจุบันคุณแม่ก็ไปเปิดเป็นร้านของเค้าเอง เราก็เซ้งที่เพิ่ม ตัดเย็บเอง ขายหน้าร้าน ส่งออก และรับผลิตของยี่ห้ออื่นด้วย เป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ทำกันเอง ก็ทำมาได้ 5 ปี ทุกวันนี้ก็อยู่ตัวแล้วค่ะ.

          หลังจากที่ได้พูดคุยกับ อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี กันไป ทำให้ทราบว่านอกจากเธอจะประสบความสำเร็จจากการเป็นนักร้องคุณภาพของไทยแล้ว เธอยังมีบทบาทที่เป็นนักการเมือง และเจ้าของธุรกิจอีกด้วย และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอก็จะมีอีกบทบาทกลายเป็นคุณแม่คนใหม่ ซึ่งเราเชื่อว่า อุ๊ หฤทัย จะทำหน้านี้ได้ดีไม่แพ้บทบาทไหน ๆ ในชีวิตของเธอ

คุณแม่นักร้อง เจ้าของเสียงทรงพลัง

          ว่าที่คุณแม่ : หฤทัย ม่วงบุญศรี (อุ๊)

          หวานใจ : สมโชค สุทธิโสม (ต้อย)

          วันเกิด : 8 สิงหาคม 2517

          การศึกษา : วิทยาลัยช่างศิลป์

ผลงาน :

          เพลง : อัลบั้มแรกในนามวง "เปเปอร์แจม", อัลบั้ม "Seven Divas"

          ภาพยนตร์ : "รักมันใหญ่มาก"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 35 ฉบับที่ 479 มกราคม 2555

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Happy with my baby...อุ๊ หฤทัย อัปเดตล่าสุด 3 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 14:12:11 2,653 อ่าน
TOP